ผมเรียนรู้ว่า การทำงานด้านการศึกษาจะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัย ๓ ประการ ได้แก่ ๑) มีครูเพื่อศิษย์ ๒) ทำอย่างต่อเนื่อง และ ๓) ความร่วมมือจากนอกโรงเรียน ในความพยายามทำหน้าที่ข้อที่ ๓) ผมพบว่า หากนำเอาทฤษฎี "ภูเขาน้ำแข็ง" มาใช้ จะสามารถอธิบายและขยายความเข้าใจให้คุณครูสามารถแก้ปัญหาของนักเรียนได้ดีมากขึ้น จึงขอนำเอา "ภูเขาน้ำแข็ง" มาแลกเปลี่ยนในบันทึกนี้ครับ
๑) ภูเขาน้ำแข็ง แสดง ความรู้ฝังลึกในตน (Tacit Knowledge)
ความรู้ที่จะช่วยครูให้สามารถช่วยนักเรียนได้ ไม่ใช่ความรู้ในตำรา หนังสือ ทีวี วีดีโอ คำสั่ง วารสาร หรือสิ่งที่นักวิชาการนำมาบอก แต่เป็นความรู้ฝังลึกในตนของครูท่านนั้น ๆ เองเท่านั้น (ดูรูปด้านล่าง) ดังนั้นบุคคลภายนอกโรงเรียน ที่มุ่งไปพัฒนาชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ (PLC) ต้องให้ความสำคัญกับความรู้ส่วนนี้มาก ๆ .... วิธีการคือ ต้องสร้างกระบวนการรเรียนรู้ให้ครูถอดบทเรียนตนเองให้เป็น
๒) ภูเขาน้ำแข็ง แสดงรากเหง้าของพฤติกรรมนักเรียน
ยอดภูเขาน้ำแข้งที่เห็น เป็นเพียงพฤติกรรมของนักเรียนเท่านั้น รากเหง้าของพฤติกรรมโดยทั่วไป (แบบไม่มีสติรู้ตัว ทำเป็นอัตโนมัติ) ส่วนใหญ่มาจาก ลำดับขั้นกระบวนการดังนี้
ดังนั้น หากจะเปลี่ยนพฤติกรรมของนักเรียน จึงต้องสร้างแรงบันดาลใจหรือศรัทธา หากระบวนการฝึกด้วยการจัดกิจกรรมให้ทำต่อเนื่องจนเกิดความเคยชิน เกิดเป็นนิสัย สร้างอุปนิสัยที่ดีให้เขา โดยต้องยึดหลักการสำคัญ คือ การพัฒนาทั้งสามฐาน
๓) ภูเขาน้ำแข็ง แสดงวิธี "ฟัง"
ปัญหาผู้เรียนอาจแบ่งได้เป็น ๓ ส่วน คือ ความรู้ ทักษะ และลักษณะนิสัย ในมุมมองผู้บริหารมักมองแต่ปัญหา ความรู้และทักษะ แต่ในมุมมองของครู จะรู้ว่าปัญหาด้านความรู้และทักษะของนักเรียน มาจากลักษณะนิสัย "ไม่สนใจเรียน ไม่ตั้งใจเรียน ไม่ขยัน ไม่อดทน ฯลฯ " ของนักเรียน วิธีแก้ปัญหาจึงพยายามจะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ด้วยวิธี "ควบคุม บังคับ นับจำนวน" ... ทั้ง ๆ ที่วิธีนี้ไม่ใช่วิธีที่ดีจึงไม่ได้ผล ครูหลายคนถึงกับท้อแท้และมีบางกรณีที่ "ทอดทิ้ง" ไป
ผมเสนอว่า เพื่อนครูต้องฝึก "ฟัง" ไม่รีบด่วนตัดสิน ฟังให้เห็นความคิดหรือวิธีคิดของผู้เรียน ฟังให้เห็นความรู้สึก พิจารณาถึงความต้องการที่แท้จริงของเขา และเห็นศรัทธาที่อยู่เบื้องลึกที่สุด สังเกตและค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวกับผู้เรียนรายบุคคล เช่น ชีวิตครอบครัว ความชอบ ความถนัด ฯลฯ ... หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ใส่ใจผู้เรียนรายบุคคล นั่นเอง
ตัวอย่างเช่น คุณครูท่านหนึ่งบอกว่า พบปัญหาในการทำกิจกรรมในชั้นเรียนคือ นักเรียนไม่ตอบคำถาม ไม่กล้าพูด ไม่สนใจเรียน ผมวิเคราะห์ว่า ที่เป็นเช่นนั้นอาจเป็นเพราะ เขาตอบไม่ได้ ทำไม่ได้ เพราะคำถามยากไป ไม่เข้าใจ ทำให้รู้สึกไม่ชอบ ไม่ชอบครู ไม่ชอบวิธีการของครู เพราะไม่ชอบจึงไม่อยากรู้ ไม่อยากเรียน ไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม ไม่เห็นความสำคัญ ไม่มีเป้าหมาย ไม่เห็นประโยชน์ ขาดแรงบันดาลใจที่จะเรียน ... หากครูมีความเห็นดังนี้แล้ว ครูก็จะไม่เพียงแค่ออกแบบกระบวนการต่าง ๆ เพื่อดึงความสนใจให้กล้าพูดเท่านั้น แต่ครูจะต้องสร้างความเข้าใจในเป้าหมายในการเรียนนั้น ๆ ด้วย
ผมพบว่า "ภูเขาน้ำแข็ง" นี้ใช้อธิบายเหตุการณ์ได้หลากหลายยิ่่ง ... ผมนึกถึงทฤษฎีพาเรโต้ที่ได้เรียนรู้จากอาจารย์แม่ รศ.ดร.นารีรัตน์ และผมบันทึกไว้ที่นี่
Thank you.
Among Buddhists, the 'right view' is the foundation of good 'kamma' (both action and intention). The right view can be cultivated by building (repeating/practicing) simple habits such as 'mingle with good friends', 'keep siila (disciplinary conducts - especially the 5th one that helps us keep the other siila), 'practice the right path',... That is we have an all-round principle that we all have already learned 'in words' but we have not applied!