สติปัญญากับ post-KM


ชีวิตที่พอเพียง สังคมที่พอเพียง ต้องการสติ ไม่แพ้ต้องการปัญญา

ผมนั่งฟังบรรยายเรื่อง KM เห็นสไลด์เรื่องความเป็นมาของ KM แล้วก็ฉุกใจคิดขึ้นมาว่า เอ๊ะ คนโบราณนี่ไปไกลกว่า KM เสียอีก

เรื่องเริ่มจากข้อมูล (data) ที่บรรยายข้อเท็จจริงแบบดิบๆ 

จากข้อมูลเมื่อเคี่ยวให้งวดเข้า ก็กลายเป็นข่าวสาร (information

เราเคี่ยวให้ข่าวสารเข้มข้นขึ้นอีก ก็กลายเป็นความรู้ (knowledge) 

และเมื่อความรู้ตกผลึก ก็กลายเป็นปัญญา (wisdom) 

แต่มีคำหนึ่งที่เป็นคำโบร๊าณ..โบราณ (วัยรุ่นเรียก: โบ-โบ)

"สติปัญญา"

ลองดูช้า ๆ นะครับ ตั้งสตินิดนึง แล้วจะเห็นว่า มาจากคำว่า สติ และปัญญา

คนโบราณนี่ถือว่า ใครมีสติปัญญานี่ สุกงอม ตกผลึก

ส่วนที่เป็นปัญญานี่ชัดเจนว่า เป็นสมรรถนะสมองระดับสูง สูงไปพ้นความรู้ขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ เป็นระบบมุมมอง ระบบคิด เป็นระบบการตัดสินใจ

แต่ส่วนที่เป็นสตินี่สิครับ น่าทึ่งกว่ามาก ทำไมใส่ไว้ก่อนปัญญา ?

สติไม่ได้ต้องการสมรรถนะทางสมองในส่วนที่เป็น IQ

แต่สติคือการตกผลึกของวุฒิภาวะทางอารมณ์ คือ EQ

สติเป็นการรู้จักหยุดเพื่อมอง ชะงักเพื่อไตร่ตรอง มองให้พ้นกรอบที่วางครอบรอบตัว ให้เห็นไปพ้นจากกรอบ เพื่อการรู้เท่าทัน

สติ ต้องสมดุลกับ ปัญญา จึงจะกลายเป็น สติปัญญา

ชีวิตที่พอเพียง สังคมที่พอเพียง ต้องการสติ ไม่แพ้ต้องการปัญญา

มีแต่ความรู้ ก็งั้น ๆ ถ้าไร้สติ 

คนที่ฉลาดระดับอัจฉริยะ มีแต่ความฉลาด อาจไม่มีคุณสมบัติพอจะได้รับเรียกว่ามีสติปัญญา เพราะเสียสติเหนี่ยวรั้งตัวเองไม่ให้อยู่ทรามไม่ได้ หรือเตลิดไปในเส้นทางของการทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้า

คนฉลาดที่ไร้สติปัญญา ถ้าเป็นคนรวย ก็จะเป็นคนรวยที่น่ากลัว เพราะใช้เงินเป็นอาวุธเอาเปรียบข่มเหงคนอื่น ใช้เงินฟาดหัวคนอื่น ใช้เงินแทนอาวุธในการแผ้วถางทางเดินของตนเอง

คนฉลาดที่ไร้สติปัญญา ถ้าเป็นผู้บริหารบริษัท ก็จะเป็นผู้บริหารที่น่ากลัว เพราะเห็นคู่ค้า หุ้นส่วนธุรกิจ เป็นอาหารว่าง ไว้ขบเคี้ยวแก้เหงา และเห็นผู้ถือหุ้นเป็นส้มในลังที่หยิบมากินเป็นอาหารหลัก 

เกษตรกรไทยหลายคน เล่าให้ผมฟังว่า ได้ยินชื่อบางบริษัททีไร ขนหัวตั้งด้วยความกลัว เพราะอยู่น่ากลัวจริง ๆ คือใครไปเป็นหุ้นส่วนด้วย ถูกเอาเปรียบจนถึงขั้น โดน"กินทั้งตัว กระดูกยังไม่ถ่ม"

คนฉลาดที่ไร้สติปัญญา ถ้าเป็นนักการเมือง ก็จะเป็นนักการเมืองที่น่ากลัว เพราะเห็นชีวิตประชาชนเป็นผักปลา มีไว้เพื่อใช้สอยเป็นทรัพยากรแบบ OPM, OPL โดยไม่ต้องควักเงินตัวเอง

OPM = Other People Money ใช้เงินคนอื่นให้เป็นประโยชน์

OPL = Other People Life ใช้ชีวิตคนอื่นให้เป็นประโยชน์

หลังยุค KM (Knowledge Management) ใคร ๆ ก็คงเห่อพูดเรื่อง WM (Wisdom Management; การจัดการสติปัญญา) กันต่อ

หลายคนคงคิด...ลำบากตูอีก...

 

หมายเลขบันทึก: 63419เขียนเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2006 21:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 16:31 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท