เรือเล็กควรออกจากฝั่ง”
“จิมครับ ช่วงนี้คลื่นลมแถวเกาะเป็นยังไงบ้าง พี่พาลูกเมียไปเที่ยวที่นั่นได้ไหม” ผมส่งข้อความไปถึงหมอรุ่นน้อง เจ้าของรีสอร์ทบนเกาะแห่งหนึ่งในท้องทะเลตรัง
“ทะเลสงบครับพี่ พี่แป๊ะจะมาวันไหน เดี๋ยวผมจะจัดห้องไว้ให้ครับ” นั่นคือข้อความจากปลายทางส่งมา
..................................................................................................
ผมยืนมองออกไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า เกาะที่คาดว่าอยู่ห่างออกไปราว ๓ กิโลเมตรจากจุดที่ผมยืนอยู่คือ “ลิบง”
เรือหางยาวขนาด ๔ แถวนั่งนำเราทั้ง ๔ ชีวิตเคลื่อนตัวออกมาจากท่าเรือหาดยาว ตามหลังแพขนานยนต์ลำเล็กที่บรรทุกรถกระบะ ๓-๔ คันออกล่วงหน้าเรามาเพียงเล็กน้อย ทันทีที่เราออกมาพ้นจากปากแม่น้ำ เรือก็เริ่มพบกับคลื่นขนาดย่อมๆ ทยอยซัดเข้ามาหาเรือ
ด้วยความสูงขนาด ๒ เมตร มันทำให้เรือของเราโคลงไปโคลงมา เรือโผโต้จากยอดคลื่นแล้วรูดลงมายังท้องคลื่น มันสูงมากพอที่จะทำให้หญิงสาวตัวเล็กที่สุดของบ้านเริ่มมีอาการกลัวเมา ชูชีพที่สวมใส่ถูกตรวจสอบความกระชับอีกครั้ง น้องจ้าเริ่มมีเหงื่อซึม
ระยะทาง ๓ กิโลเมตรโดยประมาณ หากเป็นการวิ่งออกกำลังกายของผม น่าจะใช้เวลาราว ๒๔ นาที หัวใจเต้นราว ๑๕๐ ครั้งต่อนาที หรือเข้าโซน ๔ (อะไรของมันวะ) แต่นี่เราอยู่บนเรือที่จู่ๆมีคลื่นสูงซัดมาลูกแล้วลูกเล่า
“นี่เรามาทำอะไรอยู่ที่นี่วะ” ผมพึมพัมในใจยามเมื่อเราค่อยๆแซงแพขนานยนต์ที่กำลังโยนไปโยนมาบนยอดคลื่นเหมือนๆกัน ผมพยายามทำใจให้สงบเมื่อแอบมองดูหน้าคนขับแล้วพบว่าสีหน้านั้นยังคงปกติ คนบนแพลำนั้นก็ยังคงดูดบุหรี่ด้วยสีหน้าเฉยเมย
“มันคงเป็นวิถีปกติของเขาสินะ”
เรือเราค่อยๆพาตัวเองออกไกลจากฝั่งมาเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่า เราก็ใกล้ลิบงเข้ามาทุกที
ใช้เวลาเกือบ ๒๐ นาที แต่มันนานเหมือนเวลาไม่มีจุดสิ้นสุด แต่แล้วมันก็ผ่านพ้นไป จากทะเลบ้าคลั่งเมื่อครู่กลายเป็นทะเลเรียบราวกระดาษเมื่อเราเข้าเขตลิบงผ่านประภาคารเล็กๆที่แสดงถึงร่องน้ำเข้าสู่ตัวเกาะ ทะเลเหมือนไม่ได้รับรู้หรือร่วมรับผิดชอบกับความรู้สึกกลัวจากการกระทำของตนเมื่อครู่เลย
บริเวณท่าเรือเป็นชุมชนเล็กๆ ที่คงเป็นเพียงทางผ่าน รถสองแถวดัดแปลงคันเล็กยี่ห้อ DATSUN ของรีสอร์ทได้มารอรับเราอยู่แล้ว
ระยะทางเกือบ ๘ กิโลเมตรจากชุมชนท่าเรือ เจ้าดั้ทสันคันนั้นได้ควบพาเรามาตามถนนของเกาะที่ถูกปูด้วยอิฐ
“มันคือถนนปูด้วยอิฐบล็อค”
ใช่ครับ อ่านไม่ผิด มันคืออิฐบล็อคจริงๆ ไม่รู้จะสาธยายอย่างไรว่ามันแสนสุดจะคลาสสิคขนาดไหน ถนนเส้นเล็กๆวิ่งผ่านสวนยางยาวไปตลอดทาง ขึ้นเขาบ้าง ทางเรียบบ้าง ผ่านชุมชนหลักของเกาะตรงจุดที่ถนนเลี้ยวไปมาปานตัวเอส
“ขับช้าๆ เด็กเยอะ” เป็นป้ายที่ดูง่ายๆ แต่สื่อสารได้ชัดเจน
และเพียงชั่วอึดใจเราก็ถึงที่พัก “อันดาเลย์ บีช รีสอร์ท” แห่งเกาะลิบง เกาะที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ผมจึงค่อนข้างตื่นใจ เพราะรอบนี้คงได้ออกไปวิ่งโดยไม่ต้องผจญภัยกับฝูงสุนัขล่าน่อง (เหมือนเมื่อคราวที่ไปไทรโยค)
รีสอร์ทไม่ได้มีพื้นที่กว้างมากนัก แต่เราหายใจได้สะดวกเพราะมีพื้นที่ให้ผมกับน้องจ้าโยนลูกวอลเล่ย์บอลไปมาแล้ววิ่งเก็บได้ เก้าอี้สนามหลายตัวได้ถูกจัดวางให้แขกได้นอนพักผ่อนใต้ต้นไม้สูงใหญ่ที่แผ่ใบให้ร่มเงา มันยังคงมีอยู่มากมาย ณ ที่แห่งนี้
ใช้เวลากับลูกกลมๆสักระยะ ผมจึงออกไปวิ่งบนถนนสายอิฐบล็อค ถนนที่ทอดยาวขึ้นลงตามเนินเขาทำให้หัวใจผมเต้นแรงและเร็ว เด็กๆกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นฟุตบอลในสนามของโรงเรียน กลิ่นมะกรูดฉุนแรงจากบ้านหลังนั้นทำให้ผมสดชื่น ตัดกับกลิ่นกองขี้วัวที่ชาวบ้านนำมากองไว้เพื่อทำปุ๋ยในเพิงข้างๆถนน
“Hello” คือเสียงที่ส่งทักทายมายังผม
อาจจะไม่แปลกถ้าเป็นการทักทายเพียงครั้งเดียว แต่มันแปลกมากทีเดียวที่ผมถูกทักเช่นนี้จากเด็กๆในหมู่บ้านอีก ๓ คน
“good morning” คือคำทักทายอีกครั้งจากพ่อหนุ่มน้อยคนนั้น
“good afternoon” คือสิ่งที่ผมตอบรับออกไป และกำลังจะตะโกนออกไปว่าเป็นคนไทย พ่อหนุ่มคนนั้นก็ทักทายออกมาอีกรอบ “where you come from?”
“ห้าดใย่” ผมตอบแทบจะในทันที พร้อมๆกับความรู้สึกงงหน่อยๆ ว่ามันเหมือนฝรั่งตรงไหนวะ
“เหมือนแขกอาหรับมั้งพ่อ” เมียผมหัวเราะใส่เมื่อฟังเรื่องราวที่ผมเล่าให้ฟังในสระว่ายน้ำอุ่นๆหน้าชายหาด สระน้ำอยู่ในทิศตะวันตกมีเวลารับแดดเกินกว่าครึ่งวัน จึงไม่แปลกที่เวลา ๖ โมงเย็นล่วงไปแล้ว น้ำก็ยังคงอุ่นราวแช่ออนเซ็น (ฮ่า ฮ่า ไม่เคยไปหรอกครับ ออนเซ็นนั่นน่ะ)
ผมได้ข่าวมาจากแม่ว่า ที่กรุงเทพฝนตกหนักมาก
ผมได้ข่าวมาจากลูกศิษย์ว่า แถวหาดใหญ่ก็มีฝนตก
ผมได้ข่าวมาว่าแถวๆลันตาก็มีฝนตก
แต่นี่ ที่ลิบงแดดออก แม้นลมแรงคลื่นสูง แต่ฟ้าใสแจ๋ว
เราฉลองให้แก่ความโชคดีด้วยมื้อค่ำที่รีสอร์ท (เพราะไม่รู้ว่าจะออกไปกินต่อที่ไหน) เบียร์ขวดใหญ่เย็นเฉียบถูกเสิร์ฟบนโต๊ะ
เอ๊ะ...เดี๋ยวๆๆ ไหนว่าผมงดดื่มช่วงนี้ไง
“เอาเหอะพ่อ นี่เรามาเที่ยวนะ ดื่มเป็นเพื่อนแม่หน่อย” หญิงผู้เป็นที่รักบอกมาเช่นนี้ แล้วผมจะปฏิเสธได้อย่างไร
แล้วพรรษาก็แตกในทันที
แต่จะว่าไป...ก็แค่มาเที่ยวน่ะ
ธนพันธ์ ชูบุญยังมีตอนต่อไป
๒๘ กค ๖๐
“อยากกินหญ้าทะเล”
“นี่เป็นหมอมั้ยนิ” บังถามออกมาหลังจากที่ผมโยนคำถามออกไปหาเขามากมายตั้งแต่เช้า
อากาศยามเช้าที่ลิบงด้านทิศตะวันตกที่ผมซุกหัวนอนอยู่นี่แสนสบาย แดดอ่อนๆกำลังจะส่องแสงแรงขึ้นตามเวลาการทำงานของมัน ลมพัดแรงทำให้ผมยุ่งๆของเจ้าจ้าปลิวสยาย น้ำทะเลกำลังจะลดหรือขึ้นผมก็ไม่สามารถรู้ได้ เพียงแต่ ณ เวลานี้มันแห้งงวดขนาดที่เราสามารถเดินลงไปได้ในระยะไกล ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังง่วนกับการหาของกินอยู่บริเวณชายหาดเบื้องหน้ารีสอร์ทที่ผมกำลังนั่งกินอาหารมื้อเช้าอยู่อย่างสบายใจ เบื้องหน้าเป็นเกาะเล็กๆอยู่เกาะหนึ่ง มันชื่อ “เกาะกวาง” ชาวบ้านบางคนเดินบนสันทรายไปจนถึงเกาะกวาง เกาะซึ่งบังบอกว่ามีหอยมากมาย “หอยขาว หอยตลับ ได้มาทีหลายกิโล กินกันหรอยนิ” บังยังคงบรรยายสรรพคุณ
“แล้วนี่ปลาอะไรเหรอ” ผมถามออกมา
“ปลาเหล็กโคน ตัวมันเล็กและยาวเหมือนตะปู เขาจึงเรียกมันว่า เหล็กโคน ชาวบ้านบางคนเรียกว่า หลักโคน” บังตอบพร้อมคำอธิบายแทบจะทันทีที่ผมทำหน้าเหมือนคุ้นๆหู ใช่สิ คนบ้านผมก็เรียกตะปูว่าเหล็กโคนเหมือนกัน มันเกือบจะเลือนไปในความทรงจำของผมเสียแล้ว
ปลากลุ่มนี้สามารถมองเห็นได้จากบนฝั่ง มันว่ายกันเป็นฝูงและชอบกระโดดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ แสงสะท้องเกล็ดสีเงินส่องแว็บวับ ทำให้ชาวประมงสามารถลงไปโยนแหทอดจับมันมาได้คราวละฝูง มันเป็นปลาริมหาดจริงๆ น้ำทะเลลึกเพียงครึ่งแข้งก็พบมันแล้ว
“หมอรู้ไหม หากหมอติดอยู่ที่เกาะนี้สัก ๒ เดือนโดยไม่มีตังค์ หมอก็อยู่ได้ ปลาพวกนี้กินกันไม่หมด” บังเสริมออกมา
ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมบังจึงคิดว่าผมเป็นหมอ ทั้งๆที่ผมก็เดินลงมาแหลงใต้กับเขาด้วยเสื้อผ้าปกติ หน้ายังไม่ได้ล้าง ฟันก็ไม่ได้แปรง กางเกงในก็ยังไม่ได้สวมด้วยซ้ำ ฮ่าฮ่าฮ่า
เมื่อผมบอกว่า “ใช่” แกก็นั่งลงแล้วยกตีนขึ้นมาให้ผมดู
“หมอช่วยแลที นิ้วตีนผมเป็นอะไร มันเจ็บแรงนิ” ท่าที่ชายชราคนหนึ่งนั่งลงแล้วเอาเท้าชูขึ้นมาชี้หน้าผมคงทำให้หลายคนแปลกใจ
“เป็นหูด บังต้องไปโรงพยาบาลให้หมอเขาตัดออกให้ ผมเป็นหมอทำคลอด ตัดหูดที่นิ้วตีนไม่เป็น” ผมตอบ
“แถวนี้มีพะยูนมาถึงมั้ยบัง” ผมสงสัย
“ไม่มี ตรงนี้ไม่มีหญ้าทะเล ต้องไปอีกด้านหนึ่ง แถวนั้นหญ้ามาก พะยูนยังหลายตัว” คำว่ายังหลายตัวของบังมันหมายถึง มีหลายตัว
๑๑ โมงของวันนี้ ครอบครัวผมทั้ง ๔ ชีวิตจึงได้นั่งรถพ่วงมอเตอร์ไซค์ขึ้นเขาบาตูปูเต๊ะกัน
“สมชาย” คือสารถีหนุ่มชาวบ้านผู้นำทางที่ทางรีสอร์ทได้ติดต่อมาให้
“คุณหมอจิมมีนโยบายว่า ทางรีสอร์ทจะต้องให้ชาวบ้านรอบข้างมีรายได้จากการท่องเที่ยวด้วยค่ะ” พนักงานได้แจ้งให้ทราบเมื่อผมติดต่อการนำเราไปดูพะยูน ซึ่งแนวคิดแบบนี้จัดว่าน่ารักมากนะครับ
“เขาบาตูปูเต๊ะ” มีจุดชมพะยูนอยู่บนยอดเขา เรานั่งรถตุเลงตุเลงกันบนถนนลูกรังมาจนถึงจุดหยุดรถ จากนั้นก็ต้องเดินขึ้นเขากัน
เราเดินผ่านสวนยางของชาวบ้านสักระยะก็จะมาถึงการขึ้นเขาจริงๆจังๆ สมชายพยายามให้เราหยุดดูธรรมชาติข้างทางเป็นระยะเพื่อให้เด็กๆได้บรรเทาความเหนื่อย น้ำหวานจากเอื้องป่าถูกทดสอบด้วยลิ้นของเรา ไม้ผลที่กินไม่ได้ดูคล้ายเสาวรส ต้นอะไรสักอย่างที่มีผลเหมือนพวงองุ่นสีชมพูสดใส เสียดายที่ผมไม่ใช่นักพฤษศาสตร์ ไม่งั้นคงเพลิน
ทางเดินสูงและชันขึ้นเรื่อยๆ และเราต้องเดินเข้าถ้ำอีก ๒ ถ้ำ
ในถ้ำมีอะไรนอกจากความมืด ความชื้น ขี้ค้างคาว และร่องรอยจารึกผนังถ้ำที่เกิดจากมนุษย์ยุคปัจจุบัน มีครับ ยังมีสิ่งที่ทุกคนไม่เคยมองเห็นปรากฏอยู่
“หินรูปหน้าคน”
“สมชาย นายเคยเห็นไหม ว่าที่นี่มีคนมองเราอยู่” ผมถามออกไป
“ไม่มีนี่ครับ หินแถบนี้ผมดูจนชินแล้ว ไม่มีอย่างที่คุณหมอถาม” เขาตอบ
ว่าแล้วผมก็ชี้ไปที่หินก้อนหนึ่งที่มีสีดำเพียงก้อนเดียว ตัดกับหินก้อนอื่นๆที่มีสีขาวหม่น
“เอ่อ..ครับ ผมว่ามันดูเหมือนหน้าคนจริงๆ เดินมาตั้งหลายปีทำไมไม่เคยเห็นแบบนี้เลย”
“งั้นผมตั้งชื่อให้เลยละกัน ว่า หินตาแป๊ะ ตามชื่อคนค้นพบ” ผมเย้าพร้อมหัวเราะเบาๆ (ไม่กล้าหัวเราะดัง สงสารค้างคาว มันคงกำลังหลับกันอยู่)
และเพียงอึดใจหนึ่งและเหงื่อพอท่วมแผ่นหลัง เราก็มาโผล่ที่จุดชมพะยูน
ทะเลสีเขียวขุ่นเบื้องล่างทำให้ยากที่จะจินตนาการได้ว่าพะยูนจะเป็นอย่างไร
“ช่วงนี้น้ำขุ่นครับหมอ คลื่นลมมันแรง ถ้าเรามาตอนน้ำใส จะเห็นพะยูนชัดมาก” สมชายคงกลัวเราผิดหวังจึงเริ่มเล่าออกมาก่อน และเพียงไม่ทันขาดคำเขาก็ชี้ลงไปในทะเล “นั่นไงหมอ มันมาแล้ว”
ครับ พะยูนจริงๆ แม้นน้ำขุ่นก็ดูเงาตะคุ่มๆในน้ำที่ผลุบโผล่มาหายใจให้เราเห็นได้ มาเป็นฝูงเป็นกลุ่ม ผมเดาว่าในกลุ่มนั้นน่าจะมีสัก ๔-๕ ตัว แป้งดูจะแสดงอารมณ์สมใจและสนใจออกมาให้เห็น เธอยิ้มและถ่ายรูปเงาที่ว่านั่นไปหลายรูปเชียว นานๆผมจะได้เห็นรอยยิ้มเช่นนี้ ช่างชุ่มชื้นหัวใจพ่อนัก
เราใช้เวลาอยู่บนยอดเขาราวครึ่งชั่วโมงก็กลับลงเขากัน
สมชายควบยานพ่วงของเขาพาเราทั้ง ๔ คนวิ่งเข้าหมู่บ้าน “น้ำมะพร้าวอร่อยนะหมอ ไปกินกัน” ไอ้เราก็นึกว่ามะพร้าวเป็นลูกๆ แต่กลับเป็นน้ำมะพร้าวที่เค้าทำเตรียมเอาไว้ตักใส่แก้วขาย “แก้วละ ๕ บาท” คือราคาที่แม่ค้าบอกเรามา ผมกับจิ๋มแอบมองหน้ากัน เธอคงสงสัยปนตกใจ ว่าราคา ๕ บาทจริงๆยังมีอยู่หรือไร
สมชายยังพาเรานั่งรถเข้าไปดูหมู่บ้าน ดูบ้านเรือนที่เรียงรายข้างถนนประจำหมู่บ้าน ซึ่งแน่นอนว่ามันปูด้วยอิฐบล็อกทั้งสาย ผมถูกใจบ้านเรือนแบบนี้จริงๆ เก่าคลาสสิกมาก มองพลางก็นึกใจหาย “มันจะคงอยู่แบบนี้ เหมือนเวลาภายนอกไม่เคยย่างกรายเข้ามาเปลี่ยนแปลง ได้อีกนานเท่าไหร่”
ด้วยราคา ๕๐๐ บาท ด้วยการนำเที่ยวที่ได้รับในวันนี้ถูกใจครอบครัวผมมากจริงๆ “ขอบคุณนะครับสมชาย” ผมกล่าวออกไปด้วยความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
ลิบงในวันที่ ๒ แสนชื่นใจ
ผมได้เห็นพะยูน ได้ลากแป้งออกไปพายเรือคายักโต้คลื่นหน้ารีสอร์ท ได้ฟังเสียงลูกสาวคนโตหัวเราะ ได้ฟังลูกสาวคนเล็กไกวเปลไปร้องเพลงไป และได้ดื่มเบียร์กับสาวคนรักที่บอกว่า “มาเที่ยว ดื่มไปเถอะ”
พรรษาผมแตกอีกวัน
ธนพันธ์ ชูบุญยังมีตอนจบอีกตอน
๒๙ กค ๖๐
เรือเล็กควรกลับเข้าฝั่ง
อากาศที่ลิบงยามเช้ายังคงสดใส ลมเย็นพัดเข้าฝั่งเพื่อนำเรือใบลำเล็กๆกลับบ้านหลังจากออกลอยลำตามลมหัวค่ำออกไปหาปลาตั้งแต่เมื่อคืนก่อน คงได้ปลามาหลายตัวสินะ
แต่เดี๋ยวก่อน ความรู้เรื่องการไหลของอากาศที่เรียนมาตอนมัธยมต้นด้วยจินตนาการนั้นมันเห็นจริงแค่ลมเฟ้ย เรือบงเรือใบที่ไหนจะมาใช้หาปลากันตอนนี้ ตื่นเถิดชาวไทย (เรื่องลม ผมเรียนตอน ม.๔ มาเดี๋ยวนี้ ลูกผมเรียนตอนประถม กระทรวงศึกษาฯนี่เฮงซวยแท้นะครับ)
เมื่อวานผมส่งข้อความไปหาลูกศิษย์ "วันอาทิตย์นี้ ร้านเปิดไหมครับ" ผมหมายถึงร้านอาหาร "ครัวปักษ์ใต้รีแล็กซ์การ์เด้น"
"อาจารย์ขา เปิดวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วค่ะ จะย้ายไปเปิดอีกที่หนึ่ง ใกล้ๆกัน ขอโทษนะคะอาจารย์" ข้อความจากปลายทางตอบกลับมา
ผมดูดน้ำมะพร้าวสดๆจากสวน ที่เจ้าของรีสอร์ทส่งมาให้กินเล่นอยู่หน้าชายหาดอย่างสบายใจ แผนการกินถูกวางเอาไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทาง มันกำลังจะถูกเปลี่ยน ณ ตอนนี้
กริ๊ง..เสียงข้อความเข้ามา "อาจารย์ขา แม่บอกว่าถ้าอาจารย์สั่งอาหารง่ายๆ แล้วยังมีกับข้าว ที่ร้านจะทำให้นะคะ"
"ไม่พรือลูก อย่าให้แม่เธอลำบาก เดี๋ยวผมค่อยไปหากินในเมืองได้ครับ เมืองตรังของกินเยอะนี่นา" ผมบอกไป
หมอจิมและหมอจี้เจ้าของรีสอร์ทลงเกาะมาพบครอบครัวผมในสายๆวันอาทิตย์ เราเรียนห่างกัน ๕ รุ่น รุ่นนี้ผมสนิทมาก รักมาก เนื่องจากเมื่อครั้งที่ผมและจิ๋ม (จิ๋มที่เป็นเพียงเพื่อนสนิท จิ๋มที่ไม่ใช่แฟน จิ๋มที่กลายมาเป็นเมียผมตอนนี้อยู่นี่ไง) เรียนอยู่ปี ๕ ต้องรับผิดชอบพาน้องๆปี ๑ รุ่นนี้ไปร่วมแข่งกีฬาเข็มสัมพันธ์ที่สัตหีบ จำได้ว่าคือกีฬาเข็ม แต่จะกี่เข็มนั้นก็เลือนเต็มทน
จิมกับจี้ยังดูไม่เปลี่ยน ก็คงเหมือนผมและจิ๋มมั้ง เรายังไม่เปลี่ยน (ไม่เปลี่ยนเมีย) ฮ่าฮ่า
ดั้ทสันคันเดิมออกมาส่งครอบครัวเรา ถนนอิฐบล็อกถูกผมมองอีกครั้งด้วยความชื่นชม สวนยาง หลังคาบ้าน ชาวเกาะ ผมกำลังบอกลาเขาในใจ
เรือหางยาวพาเราออกจากเกาะ เรากำลังใกล้ฝั่ง มองออกไปทั่วๆ เบื้องซ้ายมีเมฆก้อนใหญ่และสายฝน หาดปากเมง หาดเจ้าไหม คงกำลังเปียก เบื้องขวา เกาะสุกร หมู่เกาะในสตูล คงกำลังชุ่มน้ำเพราะเมฆผืนนั้นก็ใหญ่ใช่ย่อย ฟ้ายังโปร่งเฉพาะที่เรา
แต่มันก็ดูจะสงบเพียงผืนฟ้า ส่วนท้องน้ำกำลังคลุ้มคลั่งเหมือนเช่นวันมา วันนี้มันเป็นคลื่นหัวแตก น้ำสาดกระเซ็นเข้าเรือจนเราต้องร่นจากแถวหน้าสุดมาจนเกือบหลังสุด กระเป๋าเปียกปอน จ้าเงียบกริบ
มีเรือหางยาวนำหน้าเราอยู่ ๒ ลำ ผมมองเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ขึ้นอยู่กับว่ามันอยู่ที่ยอดหรือท้องคลื่น เรือโคลงเคลงไปมา แล้วผมก็รู้ตัวว่าฝนกำลังตกอย่างกระหน่ำ
๓ กิโลเมตรที่ระยะขับรถยนต์น่าจะใช้เวลากว่า ๒ นาที แต่ยามนี้มันคือเรือโยกขึ้นโยกลง " เมื่อไหร่จะถึงสักทีวะ" ผมงึมงำในใจ แต่ก็นั่นแหละ แล้วมันก็ผ่านพ้นไป เพราะทันทีที่เราเข้าเขตคลองปากน้ำ ทะเลที่บ้าคลั่งเมื่อครู่ ก็กลับสงบเงียบราวกับผัวที่ถูกเมียจับได้ว่าไปนอนกับใครมาเมื่อคืน ทั้งลมและฝนหายไปจนเกลี้ยง เราขึ้นจากเรือเดินขึ้นท่าและไปที่รถโดยไม่ถูกฝนสักหยด
มหัศจรรย์
"แป้งครับ ลูกช่วยตั้ง GPS ให้พาเราไป ครัวท่องนาท่าม หน่อยสิครับ" ผมบอกลูกสาวคนโตซึ่งนั่งเบาะหน้ามาตลอดเกือบ ๑๐ ปี
เมื่อครั้งที่เรายังไม่มีลูก จิ๋มจะเป็นผู้นำทางที่ดีที่สุดผ่านแผนที่แผ่นกระดาษพับไปพับมา น่าแปลกใจที่ผมยังพิศสมัยแผนที่แบบกระดาษอยู่ นั่นอาจจะเป็นเพราะมันสามารถทำให้เราเห็นเส้นทางทั้งหมดได้อย่างชัดเจน และวางแผนได้ ต่างจาก GPS ที่เราใช้อยู่ ที่บอกเราเพียงไปเส้นทางไหนในระยะกระชั้น เราไม่เคยเห็นภาพรวมของการเดินทางได้เลย และบ่อยครั้งที่มันทำเราเครียดและสับสน
ฝนลงเม็ดปรอยพอชุ่มชื้น พ่อเคยสอนผมว่า ถนนเปียกชื้นแบบนี้มักทำให้รถลื่นไถลง่าย พื้นเหมือนถูกเคลือบด้วยโคลน ผมผ่อนคันเร่งลง คำสอนง่ายๆ จากพ่อถูกส่งต่อให้แป้งต่อไป
"ติ๊ดๆ" เสียงดังขึ้นมาในห้องโดยสาร ผมมองหน้าแป้งแวบหนึ่งเพียงเพื่อถามว่า "เสียงเพลงเกาหลีเหรอลูก" เธอส่ายหน้าตอบพลางช่วยมองหาที่มาของเสียง เพราะมันคงดังมากพอที่เธอจะได้ยินมันด้วย
สัญญาณไฟแปลกๆแสดงขึ้นมาบนหน้าปัดรถ
"แป้งครับ เปิดคู่มือรถเลยลูก มันบอกว่าอะไร" ผมขอความช่วยเหลือ
"ลมล้อไม่เท่ากันพ่อ" เธอใช้เวลาเพียงไม่ถึงนาทีก็สามารถไขปัญหาของเครื่องหมายนั้นได้
ผมไม่ได้หยุดรถในทันที เพราะรู้สึกว่าเสถียรภาพของรถดูปกติ อีกทั้งก่อนออกรถมาก็ได้เดินตรวจสอบทุกด้านแล้ว จากนั้นก็ขอความช่วยเหลือผ่านกล่องข้อความ ผมให้แป้งส่งข้อความไปหาหมอจิมและ "น้องกัน" เภสัชกรโรงพยาบาลกันตัง ซึ่งทั้งคู่ก็ช่วยหาคนช่วยเหลือมาให้
ระบบนำทางพาเรามุ่งไปบนถนนสายหลักเพื่อไปยังร้านอาหารที่วางแผนไปกินตามเส้นทางเข้าห้วยยอด แต่เราต้องเปลี่ยนเส้นทางวกกลับเข้าทางเส้นเล็กเพื่อเข้ากันตังตามหาร้านปะยางที่ถูกแนะนำมา แต่จนแล้วจนรอดเราก็ไม่สามารถหามันเจอ อย่าลืมว่าวันนี้มันคือวันอาทิตย์ ทุกร้านล้วนมีภารกิจต่อครอบครัวเฉกเช่นครอบครัวเรา ผมหารือกับจิ๋มว่าจะเข้าตรังเลย เพราะระยะทางยังเหลืออีกไม่ถึง ๒๐ กิโลเมตร
ผมแวะเข้าโรบินสัน ที่หน้าห้างมี B Quik
ให้ลูกเมีย (ลูกผมด้วย เอ๊ะ...ยังไง) เข้าไปกิน KFC พลางๆ แผนการนี้ถูกใจสาวๆ ๒ คนนั้นมาก เพราะนานแสนนาน กว่าที่ผมจะยอมให้กินไก่ทอดยี่ห้อนี้สักครั้ง
"ไม่มีลมรั่วครับพี่ มีแต่ลมตึงกว่าล้ออื่นมาล้อนึงเท่านั้นครับ" พนักงานคนนั้นบอกผมมา
มีด้วยเหรอ "ลมตึงไป" ก่อนออกจากบ้านมา ผมก็ไปให้ร้านยางที่สนิทกันตรวจสอบลมยางมาก่อน มันเท่ากันดีทุกล้อนี่นา ผมยังคงสงสัยนัก
"ดีแล้วพ่อ มันอาจจะไม่อยากให้เราไปทางนั้นก็ได้ และจ้าก็ได้กิน KFC ด้วย" จ้าบอก
พวกเรามักจะคิดถึงมิราเคิลของการเดินทางเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ร้านนั้นอาจจะปิด ถนนอาจจะเสีย รถอาจจะเกิดอุบัติเหตุ หรือไม่ก็แค่ "บังเอิญ"
.....................…
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ดังอยู่หัวเตียง ผมรีบเอื้อมมือออกไปปิดเพราะไม่อยากให้คนที่นอนข้างตัวต้องสะดุ้งตื่น เธอกำลังหลับสบาย ผมรีบลุกจากเตียงเพื่อลงไปเตรียมอาหารเช้า ตั้งใจไว้สักพักหนึ่งแล้วว่าจะทำบะกุ๊ดเต๋แบบสิงคโปร์ให้ลูกและเมียกิน
ตั้งน้ำร้อน ใส่เกลือเม็ด พริกไทยขาว และกระเทียมหนึ่งหัว ตั้งไฟจนเดือด จากนั้นก็หย่อนซี่โครงอ่อนหมูอวบๆลงไป ๓ ชิ้น รอจนเดือดสักพักก็หรี่ไฟลง ตั้งมันไว้อย่างนั้น จากนั้นก็กดกาแฟถือขึ้นไปดื่มในส้วม
ภารกิจหลัก ต้องขี้ให้ออกและเสร็จเร็วๆ เดี๋ยวต้องเดินทาง
เครื่องบินกำลังไต่ระดับขึ้น
เช้าวันนี้ (๗ สค ๖๐) มีหมอกลงปานกลาง แต่บนท้องฟ้า ผมยังคงมองไปได้ไกล
ทะเลตรัง เกาะสุกร และ "ลิบง" อยู่ตรงนั้น
เกาะยังคงอยู่ที่เดิม ตราบเท่าที่แผ่นโลกยังไม่เคลื่อนตัว สึนามิครั้งนั้นทำให้ชาวลิบงเสียชีวิตไปเพียงคนเดียว หนึ่งคนเมื่อเทียบกับแสนชีวิตที่ถูกกลืนกินในคราวนั้นอาจจะดูจิ๊บจ๊อยมาก แต่เมื่อมองกลับเข้ามายังครอบครัวของเขา บัง ผู้เป็นเสาหลักของครอบครัว ออกเรือเล็กไปหาปลากับลูกสาว ๒ คน ถูกคลื่นใหญ่มากระแทกเรือบริเวณใกล้ชายฝั่ง มันดูดกลืนเอาผู้เป็นพ่อจมหายลงไป ลูกสาว ๒ คนคว้าจับตัวเรือเอาไว้ได้ จึงรอดชีวิตกลับมาโดยอาจจะยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และโชคชะตาคงไม่ได้ถามความเห็นจากเธอทั้งคู่ ว่าเลือกที่จะไปกับป๊ะหรือกลับมาใช้ชีวิตอย่างลำบากต่อไปโดยไม่มีเสาหลักให้ค้ำจุน
"ตึ๊ง" เสียงสัญญาณบอกให้รู้ว่าเครื่องบินกำลังจะลง
เกาะยังคงอยู่ที่เดิม แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
ธนพันธ์ ชูบุญปิดซีรี่ส์เกาะลิบง เรือเล็กกลับเข้าฝั่งโดยปลอดภัย
๓๐ กค ๖๐
ถนนสวยมาก
ฝ่าคลื่นลมไป แต่เจอบรรยากาศสวยงามคุ้มค่ะ
บรรยากาศดีมาก
ชอบภาพที่ปิดหน้าเลย
ลิบง
ขอจดชื่อไว้ก่อนนะครับ