โรงเรียนทำให้“นักเรียนไม่เอาใจใส่การเรียน”


โรงเรียนมักพูดว่า เด็กขาดความพร้อมในครอบครัว อาจเพราะพ่อแม่แยกทางกัน อยู่กับปู่ย่าตายาย พี่ป้าน้าอา หรือใครก็ไม่รู้อุปถัมภ์ไว้ รายได้ผู้ปกครองต่ำ ไม่สามารถอบรมเป็นตัวอย่างหรือสร้างแรงบันดาลใจให้กับบุตรหลานได้ เพราะขาดทั้งเวลาและความรู้ โรงเรียนเรารับนักเรียนทุกประเภทอยู่แล้ว ไม่สามารถเลือกเฉพาะที่มีความพร้อมหรือเรียนเก่งๆเหมือนกับโรงเรียนอื่น จึงเป็นธรรมดาที่ส่วนใหญ่จะขาดความเอาใจใส่ต่อการเรียน หมุดหมายในชีวิตเขายังพร่าเลือนหรืออาจไม่มีเลย แล้วจะไปหาความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังกับเขาได้ที่ไหน

ความตั้งใจเอาใจใส่การเรียนของนักเรียนวันนี้ ด้อยลงกว่าแต่ก่อนอย่างต่อเนื่อง เมื่อสักยี่สิบปีที่แล้ว นักเรียนทั้งห้องมีไม่ตั้งใจเรียนราว 4-5 คน วันนี้ทั้งห้องตั้งใจเรียนจริงๆ 4-5 คนเท่านั้น ไม่ได้เป็นข้อมูลการวิจัยใดๆ แต่มาจากประสบการณ์ครูกว่า 30 ปีที่ผ่านมาของตัวเอง

สาเหตุที่ทำให้นักเรียนตั้งใจเรียนลดลงมีมากมาย หลักๆน่าจะเป็นความก้าวหน้าของสื่อ เทคโนโลยี สังคมออนไลน์ ดูหนัง ฟังเพลง เกิดสังคมก้มหน้า สมาธิ ความสนใจ จดจ่ออยู่กับการแชท เกม หรืออะไรต่างๆมากมายซึ่งน่าสนใจกว่า ทีวีมีแต่การประกวดประชัน ร้องเพลง ความงาม เกมโชว์ ทอลค์โชว์ ที่เน้นเพียงฮาหรือสัปดน ละคร นิยาย ความหรูหราฟุ้งเฟ้อของตัวละครโดยไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องผ่านความยากลำบาก หรือไม่ต้องพยายามในเรื่องเรียน

โรงเรียนมักพูดว่า เด็กขาดความพร้อมในครอบครัว อาจเพราะพ่อแม่แยกทางกัน อยู่กับปู่ย่าตายาย พี่ป้าน้าอา หรือใครก็ไม่รู้อุปถัมภ์ไว้ รายได้ผู้ปกครองต่ำ ไม่สามารถอบรมเป็นตัวอย่างหรือสร้างแรงบันดาลใจให้กับบุตรหลานได้ เพราะขาดทั้งเวลาและความรู้ โรงเรียนเรารับนักเรียนทุกประเภทอยู่แล้ว ไม่สามารถเลือกเฉพาะที่มีความพร้อมหรือเรียนเก่งๆเหมือนกับโรงเรียนอื่น จึงเป็นธรรมดาที่ส่วนใหญ่จะขาดความเอาใจใส่ต่อการเรียน หมุดหมายในชีวิตเขายังพร่าเลือนหรืออาจไม่มีเลย แล้วจะไปหาความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังกับเขาได้ที่ไหน

ไม่ว่าจะกล่าวถึงสาเหตุใด คงไม่มีใครปฏิเสธ แต่ ณ ที่นี้ใคร่ขอนำเสนอเฉพาะสาเหตุเล็กๆที่ผลกระทบไม่เล็กบางประการ ซึ่งเกิดขึ้นที่โรงเรียน โรงเรียนสามารถแก้ไขได้เอง ไม่ต้องรอความพร้อมหรือปัจจัยอื่นๆ ขอเพียงเข้าใจและตระหนัก

1. บรรยากาศในการเรียน

กิจกรรมมากมายทั้งจากการดำเนินงานของโรงเรียนเองหรือจากหน่วยงานภายนอก ซึ่งระยะหลังต่างเข้ามามีบทบาทหรือมีส่วนร่วมกับโรงเรียนอย่างหลากหลาย อันที่จริงทั้งโรงเรียนและหน่วยงานภายนอกล้วนปรารถนาดีด้วยกันทั้งสิ้น แต่อาจหลงลืมผลกระทบสำคัญที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เด็กๆไม่ได้เรียน เรียนๆหยุดๆไม่ต่อเนื่อง นอกจากเบียดบังเวลาเรียน ยังทำให้เสียบรรยากาศการเรียนด้วย ถ้าเด็กต้องเรียนๆหยุดๆ เมื่อกลับมาเรียนใหม่ความอยากเรียนจะลดน้อยถอยลงจนครูสังเกตได้ สีหน้า แววตา อารมณ์ที่ว่างเปล่า กว่าที่ครูจะกระตุ้นให้กลับมาใหม่ได้อีกครั้ง ต้องใช้เวลา

โรงเรียนต้องบริหารจัดการเรื่องเหล่านี้ มีครั้งหนึ่งถึงกับมีข้อเสนอแนะจากระดับกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)เลยทีเดียว อาทิ ควรพิจารณากิจกรรมใดไม่สอดคล้องกับหลักสูตรนัก หรือไม่ค่อยเกี่ยวก็ให้ลดลงบ้าง ส่วนกิจกรรมตามแผนปฏิบัติการของโรงเรียนเอง ควรต้องตั้งวงพูดคุยหรือปรึกษาหารือ (Professional Learning Community , PLC) ร่วมคิดร่วมแก้ปัญหา อาทิ อาจรวมกิจกรรมคล้ายหรือมีจุดประสงค์เดียวกันเข้าด้วยกัน ทำเสียคราวเดียว อย่างนี้เป็นต้น

2. จ้างทำการบ้าน ลอกการบ้าน หรือลอกข้อสอบ

หัวใจการศึกษาอยู่ที่โรงเรียน หัวใจโรงเรียนอยู่ที่การเรียนการสอน การที่ครูยอมให้เด็กๆจ้างทำการบ้านมาส่ง ลอกการบ้าน หรือแม้แต่ลอกข้อสอบกันได้ โดยทำแค่ว่ากล่าวตักเตือน บ่น ขณะที่ยังคงให้คะแนนนักเรียนเหล่านั้นอย่างหน้าตาเฉย อาจเพราะความรัก เมตตา เอ็นดู หรือให้โอกาส ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะด้วยอะไร การเรียนการสอนในห้องจะหมดความหมายไปในทันที จะตั้งใจเรียนทำไม ไม่รู้ก็ลอก ข้อสอบยังลอกได้เลย ไม่เห็นต้องตั้งใจ แถมเกรดที่ได้ไม่ต่างกัน

โรงเรียนต้องไม่ยอมในเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการบ้านหรือข้อสอบ ควรถือเป็นเรื่องสำคัญ อย่าคิดผิวเผินเห็นเป็นเรื่องเล็ก เพราะผลกระทบใหญ่หลวง แค่มองมุมเดียวว่าเป็นเหตุทำให้ไม่ตั้งใจเรียนก็หนักหนาสาหัสแล้ว ยิ่งถ้าปล่อยให้อนาคตของชาติคุ้นชินกับวิธีผิดๆหรือการคดโกงเช่นนี้ ปัญหาคอร์รัปชั่นที่ต่างกังวลกันไม่ลุกลามบานปลายใหญ่ดอกหรือ

3. แก้ 0 ง่ายกว่าการเรียนปกติ

ถ้าเชื่อว่าการวัดประเมินผลเป็นร้อยละสมัยก่อน รวมทุกวิชาไม่ถึง 50 % ต้องสอบตกซ้ำชั้น ทำให้นักเรียนเอาใจใส่การเรียนมากกว่าปัจจุบันซึ่งเป็นเกรด(GPA) ตกวิชาใดแก้ไขวิชานั้น หมายถึงติด 0 ก็แก้ 0 โดยไม่ต้องซ้ำชั้น ถ้าเชื่ออย่างนั้นการสอบแก้ตัวได้ ผนวกเข้ากับแก้ง่ายกว่าการเรียนในชั้นปกติเสียอีก ยิ่งสร้างความไม่เอาใจใส่ให้กับนักเรียนเพิ่มขึ้นใช่หรือไม่

ครั้งหนึ่งได้ยินความคิดนักเรียน ซึ่งน่าเป็นห่วง “แก้ 0 เอาดีกว่า ง่ายกว่าเรียน” หากโรงเรียนปล่อยให้การสอบแก้ตัวหรือเรียนซ้ำง่ายกว่าการเรียนปกติ เชื่อได้เลยความไม่ตั้งใจเรียนของนักเรียนทวีจำนวนไม่หยุดแน่ จะขยันเรียนไปทำไม แก้ 0 ง่ายกว่าเยอะ โรงเรียนจึงต้องเน้นการสอบแก้ตัว ให้ไม่ง่ายกว่าการเรียนในชั้น มิเช่นนั้นจะกลายเป็นดาบสองคม ย้อนมาทำร้ายเด็กๆอย่างคาดไม่ถึง

4. เพิ่มเกรด หรือแก้ 0 ก่อนติด 0

หมายถึง สิ้นภาคเรียนหรือหลังสอบปลายภาค ก่อนที่ครูผู้สอนจะรวบรวมคะแนนทั้งหมด เพื่อตัดสินผลการเรียน โรงเรียนเปิดโอกาสให้นักเรียนที่ไม่พอใจคะแนนหรือเกรดที่กำลังจะออก สามารถเพิ่มคะแนนของตัวเองได้ ด้วยการปรึกษาหรือตกลงกับครูผู้สอนว่าจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง จึงจะได้คะแนนหรือเกรดเพิ่ม

อีกกรณีหนึ่งซึ่งส่งผลกระทบไม่ต่างก็คือ นักเรียนที่คาดว่าจะติด 0 หมายถึง คะแนนรวมตลอดภาคเรียนไม่ถึง 50 % เช่นเดียวกันโรงเรียนเปิดโอกาสให้เพิ่มคะแนน ด้วยการตกลงกับครูผู้สอนว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้คะแนนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50 % ไม่ติด 0 ตามหลักสูตร

ทั้งการเพิ่มเกรด หรือแก้ 0 ก่อนติด 0 ได้ ทำให้การเรียนการสอนในชั้นเรียนลดความสำคัญลง นักเรียนที่มุ่งมั่นจะมุ่งมั่นน้อยลง นักเรียนที่ไม่ตั้งใจจะยิ่งไม่ตั้งใจขึ้น เพราะยังมีเวลาแก้ตัวได้อีกหลังสอบปลายภาค การสอบคัดเลือกหรือการประเมินที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าของพวกเขา หลายอย่างใช้เกรดเป็นเกณฑ์ ดังนั้นจะเป็นธรรมอย่างไร ในเมื่อคะแนนน้อยก็เพิ่มได้ ตกก็เพิ่มได้ เกรดเฟ้อที่สังคมเคยวิพากษ์ยังคงอยู่

ถ้าครูไม่รักเมตตาศิษย์มากกว่าเหตุและผล โรงเรียนไม่รักษาหน้าตาจนละเลยผลกระทบที่สำคัญโดยเฉพาะความไม่เอาใจใส่ต่อการเรียนที่จะเกิดขึ้นกับเด็กๆ การบริหารจัดการเรื่องเหล่านี้ไม่ยากเลย

โดยสรุปสาเหตุที่ทำให้นักเรียนไม่ตั้งใจหรือไม่เอาใจใส่ต่อการเรียน วันนี้มีมากกว่าแต่ก่อนนานัปการ ไม่ว่าจะเป็นสื่อเทคโนโลยี สังคมออนไลน์ แชท เกม ทีวี หรือความพร้อมของครอบครัว

สำหรับมุมมองของโรงเรียน ด้วยบทบาทหน้าที่หลักในการจัดการศึกษาให้กับลูกหลาน เด็กๆ หรือเยาวชน เมื่อรู้ว่าเหตุต่างๆมีล้นเหลืออยู่แล้ว ที่จะทำให้นักเรียนไม่ตั้งใจ หรือไม่เอาใจใส่ต่อการเรียน ฉะนั้น โรงเรียนต้องไม่เพิ่มเหตุเข้าไปอีก ควรพิจารณาตัวเองก่อน โดยไม่ละเลยเหตุเล็กๆ แต่ผลกระทบไม่เล็กเหล่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศในการเรียน การลอกการบ้าน ลอกข้อสอบ หรือการแก้ 0 รวมถึงการเพิ่มเกรด

เพราะเป็นเหตุจากการดำเนินงานของโรงเรียนเอง สามารถแก้ไขได้เอง

(พิมพ์ในมติชนรายวัน, 22 ตุลาคม 2562)

หมายเลขบันทึก: 629861เขียนเมื่อ 16 มิถุนายน 2017 00:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 ตุลาคม 2019 17:07 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

สวัสดีจ้ะอาจารย์ธนิตย์

ด้วยข้อเขียนของท่านในบันทึกนี้

คุณมะเดื่อเห็นพ้องต้องกันกับท่านจ้ะ

ซึ่งอยู่ในระดับมัธยม

สำหรับคุณมะเดื่อ เป็นครูประถมนับแต่บรรจุ

และเหลืออายุราชการอีก ๒๐ กว่าเดือน

ก็ขอบอกว่า โรคเบื่อการเรียนนั้น เป็นโรค

เรื้อรังที่ต่อเนื่องมาจากระดับประถมแล้วจ้ะ

สำหรับสาเหตุของโรคนี้เกิดทั้งการติดเชื้อ

จากที่บ้าน และเพิ่มเชื้อจากโรงเรียน

ในระบบการเรียนการสอนนั่นแหละจ้ะ


วิเคราะห์ได้ชัดเจนมากครับ ;)...

  • แล้วจะยังไงต่อไปนะครับบ้านเรา เด็กๆของเรา..
  • ขอบคุณอ.มะเดื่อครับ
  • บางเรื่องราวโรงเรียนกลับสร้างความไม่ตั้งใจเรียนให้กับเด็กๆอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวครับ..
  • ขอบคุณอ.Wasawatครับ

มีหลายประเด้นมาก

ผู้ปกครองและสังคม รวมไปถึงวิธีสอนของครูด้วยครับ

คิดถึงพี่ครูเอามาฝาก


อยู่ในนี้ครับ https://www.gotoknow.org/posts/629750

ครอบครัวเป็นรากฐาน ช่วย ๆ กันนะคะ

ขอบคุณค่ะอาจารย์ที่รวบรวมปัญหาซ้ำๆเหมือนกันเลยค่ะ ช่วงนี้เดินหน้า เยี่ยมบ้าน อบรม PLC จะแก้พฤติกรรมนักเรียนได้หรือไม่....เพราะครูจะต้องมีเวลามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์...เอาเวลาไหนดี.....อิอิ

  • ทำงานที่โรงเรียน ใจก็วกวนอยู่แต่เรื่องของโรงเรียนครับ(ฮา)
  • ขอบคุณทพญ.ธิรัมภาครับ
  • คิดเหมือนกันเลยครับอาจารย์ PLC เป็นวิธีการที่ดีแน่ แต่เกรงความไม่จริงจัง หรืองานนโยบายมากมายที่โรงเรียนมี จะเป็นอุปสรรคอีกเช่นเคย
  • ขอบคุณkrutumครับ


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท