ข้อคิด
คำว่าอุปาทายรูป คือสิ่งที่อิงอยู่กับวัตถุ มันไม่ใช่วัตถุ ทั้งหัวใจและสมองเป็นวัตถุ ไม่ใช่คุณสมบัติหรือสิ่ง กายทั้งหมดคือที่ตั้งของดวงจิต กายคือปฐมธาตุทั้งสี่ กายจึงเป็นสิ่ง
การรับรู้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายแบ่งได้ 2 ส่วนคือ
1.ทางอ้อมคืออุปาทายรูปสิ่งนั้น
2.ทางตรงคือสัมผัสกายเลย
แต่ทั้ง 2 ทางนี้รับรู้ได้เฉพาะธาตุดิน ลมและไฟ เท่านั้น ส่วนธาตุน้ำมันละเอียดเกินไป
สำหรับธาตุนั้นพระพุทธเจ้าได้แสดงไว้ 6 ธาตุคือ ดิน น้ำ ไฟ ลม จิต และอากาสธาตุ ในอากาสธาตุอยู่ในปรมัตถธรรมข้ออุปาทายรูปแม้นักปรัชญากรีกบางคนไม่เชื่อว่าที่ว่างมีอยู่จริง ( น. 195 ) เพราะที่ว่างคือกำแพงมหาภูตรูป 4 เราต้องแยกดูเหมือนต้นไม้กับเงาต้นไม้คนละอันกัน ด้วยวิญญาณทำให้สสารต่างจากดินหมดวิญญาณร่างกายก็แข็ง
ด้วยร่างกายมนุษย์ก่อตัวได้ด้วยสารอาหาร บาลีว่าโอชา โอชาของคนกับควายก็ต่างกัน
มีข้อความพระอัสสชิแสดงแก่ว่าที่พระสารีบุตรว่า
เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุง ตถาคโต
เตสญฺจ โย นิโรโธ เอวํวาที มหาสมโณ
ธรรมเหลาใดเกิดแต่เหตุ ตถาคตสอนเหตุธรรมเหล่านั้นพร้อมทั้งการดับแห่งธรรมเหล่านั้น มหาสมณะสอนอย่างนี้ ( น. 203 )
นี้คือรูปทั้งหมดไม่ใช่เหตุ แต่เหตุจะมาคู่กับ ปัจจัย รูปไม่ใช่สิ่งสั่งให้ทำดีชั่วได้ แต่รูปถูกปัจจัยครอบงำแต่ไม่ใช่เหตุ รูปจึงเป็นกลางทางศีลธรรมและรูปทั้งหมดล้วนอนิจัง ซึ่งจะต้องคิดค้นคว้ากันต่อไปเพราะยังไร้คำตอบที่สมบูรณ์ ( น. 219 )
..................................
บรรณานุกรม
สมภาร พรมทา. 2559. พุทธปรัชญาในอภิธรรมปิฎก. นนทบุรี : บริษัทปัญญฉัตร์ บุ๊คส์ บายดิ้ง จำกัด.
ไม่มีความเห็น