เช้านี้ผมอ่าน ข่าวนี้ ด้วยความทึ่งครับ
เนื้อข่าวอ่านแล้วน่าคิดมาก เนื้อความโดยรวมเกี่ยวกับรองเท้า Adidas รุ่นใหม่ที่จะเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย โดยคนที่ต้องการสามารถไปซื้อได้ แต่จะไปซื้อนั่นไม่ใช่เดินถึงร้านแล้วซื้ออย่างธรรมดาสามัญนะครับ เขามีกติกาในการซื้อดังนี้ครับ
- เข้าคิวตามจุดที่กำหนดในแต่ละสาขา เพื่อลงทะเบียนโดยเอกสารที่ต้องใช้ในการลงทะเบียนคือ บัตรประชาชน (สำหรับชาวไทย) หรือ พาสปอร์ต (สำหรับชาวต่างชาติ) • ร้านอาดิดาส ออริจินัลส์ สาขา Central World (บริเวณหน้าประตู Topshop) • ร้านอาดิดาส ออริจินัลส์ สาขา Siam Center (บริเวณประตู 3 หน้าร้าน Sephora)
- เริ่มการลงทะเบียนต่อคิวตอนเวลา 17.00 น. ของวันที่ 26 เมษายน 25560 เป็นต้นไป และจะมีการเช็คชื่อโดยเจ้าหน้าที่จากอาดิดาส ตามเวลา 17.00 น., 20.00 น. วันที่ 27 เมษายน 2560 เวลา 5.00 น. และ 8.00 น. และจะทำการแจกบัตรคิวในเวลา 8.30 น. โดยการลงทะเบียนนั้นต้องมีบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตเพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันสิทธ์
- ลูกค้า 1 ท่านสามารถซื้อรองเท้าได้เพียง 1 คู่เท่านั้น
- พนักงานจะทำการแจก บัตรคิว เพื่อใช้ในการเข้าคิวและซื้อสินค้าซึ่งต้องมีการระบุ รุ่น สี และ ไซส์ อย่างชัดเจน
- ในบัตรคิว ห้ามมีการขีดฆ่าหรือแก้ไข หากมีการขีดฆ่าหรือแก้ไข บัตรคิวใบนั้นจะถือเป็นโมฆะทันที
- ขอสงวนสิทธ์ในการงดใช้ ส่วนลด voucher และ tag voucher ทุกประเภท
- ผู้ที่ได้รับสิทธิ์จะต้องชำระเงินภายในร้านเท่านั้นและทางร้านขอสงวนสิทธ์ในการลองสินค้าและเปลี่ยนสินค้า
- ทางร้านขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไข เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการซื้อ adidas originals NMD ตามความเหมาะสมโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
พอผมอ่านกติกาทั้งหมดผมถึงกับต้องอุทานออกมาดังๆ
“นี่มันรองเท้าวิเศษหรือนี่!!!”
“นี่สังคมบริโภคนิยมของมนุษยชาติไปไกลกันถึงขนาดนี้แล้วหรือ?”
โดยกฎเกณฑ์ในการซื้อที่เขียนมาด้านบนนี้นั้น ถ้าให้คนในยุคสักร้อยสองร้อยปีที่แล้วมาอ่าน เขาต้องเข้าใจว่านี่คือกติกาของการเข้าศาสนสถานเพื่อไปบูชาพระเจ้าอย่างแน่นอน
ไม่น่าเชื่อว่าเราอยู่ในยุคที่เราบูชา “การบริโภค” เป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แล้ว โดยเราเชื่อว่าการบริโภคจะนำมาซึ่งความสุขให้แก่เราได้ ผมคิดว่าในจิตใจของผู้ซื้อนั้น รองเท้านี้เทียบได้กับเครื่องรางของขลังทีเดียว
การไปซื้อรองเท้าคือ “การแสวงบุญ” (pilgrimage) ไปแล้ว
ผมนึกภาพผู้คนที่ต้องอดทนกับความยากลำบากในการเดินทาง เอาเงินที่หามาด้วยความอุตสาหะหรือจากการมีหนี้สินไปให้แก่ “ผู้รับสารของพระเจ้ายุคใหม่” ได้แก่พนักงานขายของรองเท้าเพื่อให้ได้รองเท้านี้มาครอบครอง
ไม่ต่างกับผู้คนในอดีตที่เดินทางด้วยความทุกข์ยากเพื่อไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เขาบอกกันว่ามีพระเจ้าให้กราบไหว้และจ่ายเงินทำบุญเพื่อได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กลับบ้านมาบูชา
มีคนคุยพูดกันหลายที่หลายแห่งว่าคนยุคใหม่ห่างไกลศาสนา ผมคิดว่าไม่ใช่หรอกครับ เรายังอยู่กับความเชื่อของศาสนาไม่ได้ต่างจากคนในอดีตเพราะความเชื่อทางศาสนาเป็นปรากฎการณ์ของจิตใจตามธรรมชาติที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ว่าในปัจจุบันศาสนาได้ปรับสภาพไปแล้วจนไม่เหลือเค้าของศาสนาในยุคก่อนหน้านี้อีกต่อไป ถ้าเราคิดตามและสังเกตอย่างที่ผมเขียนในบันทึกนี้ เราจะเห็นสิ่งที่เรียกว่า “ศาสนา” อย่างชัดเจนและกำลังทำงานอยู่ในความคิดของผู้คนไม่ได้ต่างจากร้อยปีพันปีที่แล้วเลย
บันทึกนี้ไม่ได้บอกว่าคนขายรองเท้าผิด หรือคนซื้อรองเท้าผิด ไม่มีใครผิดทั้งนั้นครับ ผมเพียงแต่ต้องการนำเสนอมุมมองของศาสนาในยุคใหม่เท่านั้นเองครับ
เดี๋ยวนี้คนติดในยี่ห้อครับ
ต้องทำใจ
ความจริงรองเท้าใส่เพื่อป้องกันเท้า เลือกที่ดีและเหมาะกับตนเองก็พอ
แต่ทึ่งข่าวนี้มากเลยครับ
ขอบคุณมากๆครับ
"สิ่งที่นำมากล่าว..ข้างต้น..สวนทางกับ..ความเชื่อ..ของคน ที่เดินทางไป ..ขูดต้นไม้ หรือกราบอ้อนวอนขอ(หวย).."ตัวเลข"..กับต้นกล้วยร้อยหวี..5555..ที่เคยมีปรากฏเป็นข่าว...
เขาเหล่านั้น..ไม่ต้องแสดงความเป็นตัวตนที่เป็นสิทธิบัตร..ไม่ต้องหอบเงินไปเป็นฟ่อน..เพื่อรองเท้า เจ้ากรรมนายเวร ...เหล่านั้น...
แถม โชคดี กับการ กราบไหว้...(.ได้เงิน..มาบูชา..ต่อเนื่อง..5555).....
เอ. มันอะไรกัน เนี่ยะ...!!!!!???????
เป็นตัวอย่างกรณีศึกษาเรื่อง คุณค่าที่ผูกมากับBrand ของผลิตภัณฑ์นะคะ
แวะมาอ่านความคิดร่วมสมัยของอาจารย์นะครับ
ด้วยความระลึกถึงเสมอนะครับ อาจารย์
โลกมันเปลี่ยนแปลงไป เกินกว่าคำว่ามากมายจริงๆ คะ
ผมหายไปนานครับแต่ยังไม่ลืมเรื่องราวที่จดจำครับ