วันที่ 47 ยิ่งนาน ยิ่งผูกพัน (16 กุมภาพันธ์ 2560)


วันนี้ครูมารีย์ไปหาหมอ ฉันจึงได้ดูแลเด็ก ๆ ป.3/6 ทั้งวัน

เด็กห้อง ป.3/6 เป็นเด็กเรียบร้อยและน่ารัก ฉันจึงไม่ต้องเปลืองพลังมากในการสอนและดูแลเด็ก ๆ

คาบเรียนแรกในวันนี้ เป็นคาบเรียนวิชาสังคมศึกษา

ส่วนในคาบเรียนที่ 2 เป็นวิชาคณิตศาสตร์ที่ฉันต้องสอนแทน และคาบเรียนที่ 3 เป็นคาบเรียนวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี ซึ่งครูโน่ลาเพื่อซ้อมรับปริญญาพอดี

ดังนั้นคาบ 2 และคาบ 3 ในวันนี้ ฉันจึงเหมา 2 คาบรวด


ในคาบเรียนที่สอง ฉันให้เด็กทำวิชาคณิตศาสตร์ที่ครูมารีย์มอบหมายไว้ เมื่อเด็กทำเสร็จ ฉันก็ช่วยตรวจคำตอบให้เด็ก ๆ

จากนั้นในคาบที่ 3 ฉันก็ติวข้อสอบคณิตศาสตร์ให้เด็ก ๆ ก่อนกินข้าว

โชคดีที่ ป.3/6 ชอบวิชาคณิตศาสตร์ เด็ก ๆ จึงทำข้อสอบไปอย่างตั้งใจและมุ่งมั่น

ที่ต้องเน้นให้เด็กทำข้อสอบ เพราะการสอบ NT ระดับชั้น ป.3 ใกล้เข้ามาแล้ว

ช่วงนี้จึงต้องติวแบบหนักหน่วงเป็นพิเศษให้แก่เด็ก ๆ

ทำเสร็จก็เฉลยร่วมกัน แล้วก็ให้เด็กกินข้าว


วันนี้เป็นเมนูข้าวมันไก่ และมีน้ำจิ้มแซ่บ ๆ ด้วย

เมื่อตอนครูมารีย์อยู่ เด็ก ๆ จะไม่กล้าตักน้ำจิ้มเยอะ

แต่พอครูมารีย์ไม่อยู่ บางคนก็ตักน้ำจิ้มเยอะเกินไปจนน้ำจิ้มเกือบไม่พอ

จากนั้นคนที่ตักน้ำจิ้มเยอะจึงได้เรียนรู้ว่า การตักน้ำจิ้มเยอะเกินไปจะทำให้เผ็ดกันกระจายแบบนี้

ฉันว่า ครั้งต่อไป เด็ก ๆ คงเข็ด ไม่กล้าตักน้ำจิ้มเยอะ ๆ อีก จำไว้เป็นบทเรียนนะ เด็ก ๆ ^^


ในคาบบ่ายนี้ ฉันเดินสอนเวียน 2 ห้อง ระหว่างห้อง ป.3/4 และห้อง ป.3/6 วนไปมา

เพราะครูประจำชั้น ป.3/4 ก็ไม่อยู่เช่นกัน

ฉันมอบหมายให้เด็ก ป.3/4 ทำโจทย์คณิตศาสตร์บนกระดาน จากนั้นก็เทียวไปเทียวมาระหว่างทั้งสองห้อง

เมื่อมีงานให้ทำ เด็ก ๆ ก็ตั้งใจทำงาน ทำให้ห้องเรียนไม่วุ่นวายอีก

ระหว่างที่ฉันเดินไปมาจนเริ่มจะเวียนหัว ครู ป.3/4 ก็กลับมาพอดี

ฉันจึงไปคุมเด็ก ๆ ป.3/6 ต่อ ><


ในคาบเรียนตอนบ่าย ฉันสังเกตเห็นได้ชัดว่าเด็ก ๆ เริ่มเนือย ๆ กับการทำข้อสอบแล้ว

ฉันจึงเล่าเรื่องประสบการณ์การไปเข้าค่ายลูกเสือของฉันให้เด็ก ๆ ฟัง ซึ่งเด็ก ๆ ให้ความสนใจมากและหัวเราะไปกับเรื่องราวของฉัน

ปกติ นักเรียนห้อง ป.3/6 มักจะแสดงสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไร แต่วันนี้ฉันเห็นเด็ก ๆ หัวเราะชอบใจอย่างมีความสุข ฉันก็รู้สึกแปลกไปอีกแบบเหมือนกัน

เด็ก ป.3/6 ไม่ค่อยมีโมเมนต์เฮฮาแบบนี้เลยจริงๆ ^^

ฉันดีใจที่เด็ก ๆ ชอบใจเรื่องราวที่ฉันเล่าให้ฟัง

การเป็นครูต้องเตรียมเรื่องเล่าไว้เยอะ ๆ เอาไว้เล่าให้เด็ก ๆ ฟัง

ฉันไม่อยากจะบอกนักเรียนเลยว่า เรื่องราวบางตอนฉันก็แอบใส่ไข่เข้าไป เพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่าและการฟังของเด็ก ๆ

จากเมื่อก่อนที่เคยบอกว่านักเรียนขี้โม้ วันนี้คงเป็นตัวฉันเองที่ขี้โม้มากกว่านักเรียน

ถ้าโม้แล้วทำให้เด็ก ๆ เฮฮาบ้างก็เป็นเรื่องดี แต่หากขี้โม้เกินไปก็คงไม่ดี ^^


เมื่อทำข้อสอบภาษาไทยเสร็จก็เฉลยร่วมกัน

จากนั้นฉันก็ฝึกระเบียบแถวและการพูดรายงานตัวให้เด็ก ๆ ก่อนการไปเข้าค่ายลูกเสือวันพรุ่งนี้

จบท้ายวันนี้ด้วยการฝึกสอบการผูกเงื่อนแบบต่าง ๆ และย้ำเตือนนักเรียนเรื่องการส่งใบอนุญาตผู้ปกครองและของที่ต้องเตรียมไปในวันพรุ่งนี้

เด็ก ๆ คงตื่นเต้นน่าดูกับการไปเข้าค่ายในวันพรุ่งนี้

ฉันแอบเสียดายที่ไม่ได้ไปกับเด็ก ๆ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ^^


การได้อยู่กับเด็ก ป.3/6 ในวันนี้ทั้งวัน ได้พูดคุย ได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกผูกพันกับเด็ก ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ

และฉันก็คิดว่าเด็ก ๆ ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

เมื่อก่อนไม่มีเด็กคนไหนกล้าเข้าใกล้ กล้าเข้ามาพูดคุย กล้าเข้ามากอดฉันเลย

แต่เดี๋ยวนี้เจอกันที่ไหน ถูกรุมล้อม ถูกกอดที่นั่น กอดบ่อยจนบางครั้งฉันก็กลัวติดเหาจากนักเรียน ><


ฉันไม่กล้าปฏิเสธอ้อมกอดของเด็ก ๆ เพราะครูมารีย์เคยบอกว่า เด็กในห้องบางคนเป็นเด็กที่ครอบครัวมีปัญหาและขาดความอบอุ่น

ดังนั้น ในบางทีเขาอาจจะต้องการความรัก ความอบอุ่นจากเรา

เมื่อเขาเข้ามากอด จึงไม่ควรปฏิเสธเขา แต่ทั้งนี้ก็ต้องปรามบ้างและรักษาระยะห่างเพื่อความเหมาะสมด้วย


การได้มาอยู่ประจำชั้นห้องเรียน ป.3/6 นี้ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

ฉันคิดว่ามันถูกกำหนดมาแล้วให้เราต้องได้รู้จักกัน ได้อยู่ด้วยกันและได้ผูกพันกันแบบนี้

ยิ่งได้อยู่ด้วยกันนานวันเข้าก็ยิ่งผูกพัน

เมื่อถึงตอนที่ต้องจากกันจริง ๆ คงใจหายน่าดูเลย...

แค่คิดตอนนี้ก็ยังใจหายเลย...


ภาพหมู่ภาพแรกของพวกเรา ป.3/6

หมายเลขบันทึก: 623679เขียนเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2017 21:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2017 21:42 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท