801. "สมองดารา"


Whole Brain Literacy

ช่วงนี้มีข่าวฮือฮาเกี่ยวกับดาราติดๆกันหลายข่าว ดาราหรือ Celeb เหล่านี้หลายคนทำอะไรดีๆ หรือแสดงอะไรก็เข้าท่า ดูดวงขึ้นมาตลอด แต่ไหงอยู่มาวันหนึ่งชื่อเสียงและอนาคตกลับพลิกผันดิ่งลงเหวแบบไม่น่าเชื่อ ...

ถ้าวิเคราะห์ด้วยศาสตร์สมองที่ผมเรียนมา ก็จะเหมือนว่าการที่ดาราจะมีชื่อเสียง ย่อมหมายถึงเขาเก่ง เก่งก็เพราะใช้สมองครับ ...แต่อยู่มาวันหนึ่งเพียงชั่วพริบตาเขาหรือคนที่เกี่ยวข้อง กลับเหมือนสร้างความหายนะให้ตัวเอง ..เหมือนสมองที่ทำงานอยู่ดีๆ คิดดีๆ ก็เหมือนเกิดภาวะการใช้สมองมีปัญหา เกิดปัญหาสร้างความหายนะตามมาไม่หยุด ถึงขั้นหมดอนาคตได้

และแน่นอนก่อนเขียนอะไร ก็อยากให้คนไทยให้อภัยเขากันครับ ..แค่นี้ผมว่าเขาก็อ่วมกันแล้วครับ

มาว่ากันเลย...ต้องบอกก่อน ผมไม่ใช่จิตแพทย์ ผมเป็นนักพัฒนาองค์กร (OD Practitioner) ..พวกเราใช้ความรู้ ทางจิตวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ ตอนหลังก็มีเรื่องสมอง มาพัฒนาคน พัฒนาองค์กรกัน..

วันนี้ผมมานำเสนอบทวิเคราะห์สมองดารา เพื่อค้นหาว่าทำไมดาราสมองดีๆ อยู่ดีๆการใช้สมองดูเปลี่ยนไป..และทางออกคืออะไร

ก่อนจะไปถึงจุดนั้นมารู้จักสมองกันครับ

อาจารย์ดัดลี่ย์ ลินช์ท่านทำงานร่วมกับศัลยแพทย์สมอง เป็นทฤษฎีสมองสี่ด้านดังภาพข้างล่างนี้โดยอาจารย์ผมDr. Perla ที่ ABAC นำมาต่อยอดเป็นทฤษฎี Whole Brain Literacy ตัวนี้เอามาวิเคราะห์คน วิเคราะห์และเอามาต่อยอดในการทำ OD Consulting ได้ดีมากๆ .. มาดูกันครับ เราจะเอาเรื่องี้มามองดารา และหาทางออกกันอย่างไร


ลองมาดูข้อสรุปง่ายๆดังนี้ครับ

  1. สมองมีสี่ด้านคือ I-Control สมองของนักควบคุม I-Explore สมองนักสำรวจ I-Pursue สมองนักปฏิบัติ และ I-Preserve สมองนักประสานสัมพันธ์
  2. มนุษย์ใช้สมองสลับไปมาสี่ด้าน ตามความเหมาะสม
  3. มนุษย์มีแนวโน้มที่จะใช้สมองบางด้านจนชิน ทำให้กลายเป็นบุคลิกภาพไป
  4. I-Control คนที่ใช้สมองด้านนี้จนชิน ใช้มากจะชอบควบคุม จัดระบบ ถ้ามากเกินไปอาจทำให้ความสัมพันธ์กับผู้คนมีปัญหา คือกลายเป็นคนจุกจิก
  5. I-Preserve ใช้จนชินจะกลายเป็นคน Popular เพื่อนรักมาก จนอาจไม่กลับบ้าน หรือไม่ก็ไม่ทำงานตัวเอง ติดหนี้ ขาดการควบคุมชีวิตปัจจุบัน
  6. I-Pursue เน้นปฏิบัติมากๆ แต่มากไปอาจลืมคิดต่าง จนทำงานหนักแต่ไม่ก้าวหน้าสักที เพราะไม่คิดต่าง
  7. I-Explore คิดสร้างสรรค์ แต่ถ้ามากไปอาจกลายเป็นคนจับจด ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้ครับ
  8. สรุปคนเราต้องใช้สมองให้สมดุล ถ้ารู้ว่าเราเป็นนักปฏิบัติ (I-Pursue) ก็อย่าลืมมองหา Idea แปลกๆ (I-Explore)...ที่สำคัญรู้จักควบคุมงบประมาณ คุมเวลา (I-Control) สุดท้ายรักษาความสัมพันธ์ในทีมให้ดี (I-Preserve)
  9. คนที่ประสบความสำเร็จจะใช้สมองคล่องทั้งสี่ด้าน นั่นคือจะทำงานเก่ง ควบคุมสถานการณ์/ต้นทุนได้ รักษาสัมพันธ์ได้ดี และคิดนอกกรอบ
  10. ผมเคยเจอคนในบริษัทดังๆ พอเรียนเรื่องนี้เขาจะบอกนายที่เก่งและคนในองค์กรนับถือมากๆ... ใช้สมองคล่องอย่างน้อย 3 ด้าน
  11. คนที่เป็นระดับ Talent ที่บริษัทคิดมาเรียนกับผมส่วนใหญจะมีสองด้านขึ้น ใช้ได้คล่องเลย
  12. ลองพูดถึงคนที่ไม่ก้าวหน้าในอาชีพ ที่ไม่ถูกโปรโมทมักใช้สมองได้เดียวกับทุกเรื่อง
  13. ถ้าเราอยากไปได้ดี ใช้สมองไม่คล่องทุกด้าน อาจลองทำงานร่วมกับคนที่ใช้สมองด้านอื่นๆ จะเสริมพลังกันได้เลย

ผมลองถอดบทเรียน Celeb สามคน + แฟน ได้ดังนี้

  1. กรณีกราบ.. เจอเหตการณ์ลบ เกิดโกรธ.ดูเหมือนจะใช้สมองส่วนนักปฏิบัติมาก (I-Pursue) จนลืมคิดถึงสมองด้านอื่น ขาดความคิดสร้างสรรค์ ลืมการควบคุมความเสี่ยงที่จะตามมา สุด้ทายในฐานะ Celeb ลืมมองเรื่องความสัมพัน์กับโลกรอบตัว ...
  2. กรณีนักพูดหมิ่นคนอิสาน..นี่ก็พูดด้วย Idea บรรเจิด ใช้ I-explore สุดๆ แต่เกิดมีอารมณ์ลบขึ้นมา เลยพูดในสิ่งที่กระทบกระเทือน ความรู้สึก ลืมมองเรื่องความสัมพันธ์ (I-Preserve) ไปเลย
  3. กรณีเชียงใหม่ อยากรักษาความสัมพันธ์กับดาราสุดๆ ...เลยพยายามควบคุม (I-Control) พอหนุ่มลูกนายพลตั้งข้อสังเกต เกิดอารมณ์ลบผลักดัน ที่สุดสั่งการ์ดรุมตี ... (I-Pursue) ...นี่คือการใช้สมองที่หายนะที่สุด เกิดผลที่ตามมาอย่างควบคุมไม่ได้
  4. ดูเหมือนทั้งสามมีจุดร่วมคืออารมณ์ที่เป็นลบ.. อารมณ์ลบส่งผลต่อการใช้สมอง คนที่ดูดีๆ กลายเป็นปีศาจที่ทำลายคนอื่นและตัวเองได้ในพริบตา
  5. อารมณ์ลบทำให้คนใช้สมองแบบผิดๆครับ
  6. ดูเหมือนทุกคนแค่ต้องการบรรลุเป้าหมายระยะสั้น ลืมดูภาพรวมในชีวิตกันครับ

ดาราก็คือคน.. คนที่ใช้สมอง ถ้าเป็นก็โตขึ้นเรื่อยๆ หากไม่เป็นก็อาจจะเจอการหักเหของชีวิตอย่างคาดไม่ถึงได้

คำถามแล้วไง จะทำให้ดาราใช้สมองเป็นได้อย่างไร

ข้อเสนอมีดังนี้ครับ

  1. เจอเหตุการณ์อะไร ใจเย็นไว้ก่อน ระงับอารมณ์ไว้ให้ความโกรธหมดไปก่อน
  2. ท่องไว้ อารมณ์ลบคือหายนะ เราจะไม่ตัดสิน ไม่แก้ปัญหาถ้าอารมณ์ไม่สงบ
  3. ระวังเรื่องเป้าหมาย กรณีกราบรถเป้าหมายคือการมีรถดี นี่เองนำมาสู่การติดยึดการใช้สมองปกป้องเป้าหมายที่ประสบความสำเร็จ
  4. ควรค้นหาจุดประสงค์ของชีวิต (Purpose) คือการตอบให้ได้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร Purpose ไม่ใช่เพื่อลูกนะครับ Purpose คือการค้นหาพรสวรรค์ตัวเอง แล้วเอาไปแก้ปัญหาให้ชาวโลก (Picasso) เป้าหมาย (Goal) ต่างจาก Purpose มากๆ


5. อาจารย์ผม Perla สอนว่า ถ้าจะใช้สมองสี่ด้านอย่างทรงประสิทธิภาพ ต้องมี Purpose ครับ

6.หา Purpose ก่อน ค่อยกำหนด Goal

7. ดารานักพูดอาจมีพรสวรรค์เรื่องพูด และรู้สึกว่าอยากเผยแพร่งานของในหลวงร. 9 พระองค์ท่านให้ไปได้ไกลที่สุด ด้วยเห็นว่าประเทศอื่นน่าจะได้แนวคิดดีๆ ของในหลวงเราไปใช้บ้าง..เพราะฉะนั้น Purpose ของผู้หญิงท่านนี้ก็จะเป็นชีวิตนี้เกิดมาเพื่อจะทำทุกอย่างให้ชาวโลกได้เรียนรู้จากในหลวงร.9 ของเรา...ถ้าคิดอย่างนี้แล้ว เขาจะระมัดระวังมากขึ้น จะไม่มีเป้าหมายเพียงพูดให้คนในหอประชุมทึ่งแต่วงแตกเท่านั้น คงต้องขัดเกลาคำพูดจนสิ่งที่ตนเองพูดไปจุดประกายเชิงบวกกับคนฟังได้จริง

8.ดารากราบรถ เห็นทำรายการเยาวชน...ด้วยพรสวรรค์นักจัดรายการ ก็มี Purpose คือเขาต้องการอยู่เพื่อนพัฒนารายการดีๆ ในทุกช่องทางให้เยาวชนพัฒนาตัวเอง เข้าถึงความรู้และแรงบันดาลใจในชีวิต..เท่านี้ครับเขาจะระมัดระวังตัวเอง เพราะตัวเองเป็นสื่อความสนใจของเยาวชน แต่หากตั้งเป้าว่าจะซื้อรถ ความสนใจจะอยู่ที่สมบัติบ้านั้นทันที คนละเรื่องไหมครับ

9.ดารา+แฟน...อาจใช้พรสวรรค์ตัวเอง จากการมองหลายๆที่มองว่าผับนี่จะไม่ค่อยปลอดภัย เลยเกิด Purpose ว่าจะทำสถานที่ท่องเที่ยวกลางคืนที่ปลอดภัย ดูแลคนให้สนุกกลับบ้านปลอดภัย เมาไม่ขับ.. เท่านี้ก็ต่างแล้ว

10. สุดท้ายควรค้นหาแบบอย่างในชีวิตครับ ใครเป็น Idol แล้วไปดู Idol ดาราของผมคือ Keenu Reeve ครับคนนี้สมถะ รวยแต่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ได้เงินจากหนัง The Matrix มาก็แบ่งให้คนอยู่เบื้องหลัง เพราะบอกว่าที่ได้มาก็กินไม่หมด ..ปัจจุบันนั่งรถเมล์ครับ ใช้ชีวิตเหมือนสอนคนอื่นในตัว.. ส่วนคนไทย ผมถามพ่อว่าใครเป็น Idol พ่อบอกว่าชรินทร์ นันทนาคร เป็นศิลปินแห่งชาติ งามพร้อมทั้งชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว (พ่อว่างั๊น) ลองไปดูประวัตินะครับ ในหลวง ร. 9 ท่านถึงกับพระราชทานนามสกุล นันทนาคร ให้ ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้ให้ความรื่นรมย์แก่ชาวเมือง” ไม่ธรรมดาใช่ไหมครับ

11. หรือจะลองหา Idol ที่เป็นคนไทย เอาดาราอาวุโสหน่อยเอาที่มีศีลธรรมดี ที่มีชีวิตที่ดี มีฐานะมั่นคง ลองไปดูว่าเขาบริหาร เขาใช้สมองอย่างไร เขาคิดสร้างสรรค์ เขาทำ เขาควบคุม เขาสร้างสัมพันธ์อย่างไร ถอดแบบแล้วเดินตามนะครับ


สรุปแล้วอารมณ์ลบ ส่งผลต่อการใช้สมอง

อย่าโกรธ อย่าลบเลยนะครับ

เพราะบั่นทอนตัวเอง และบั่นทอนอนาคต

น่าสะพรึงกลัวมากๆ

และอย่าลืมค้นหาต้นแบบ ค้นหา Purpose

ตั้งเป้าหมายแต่ขาดจุดประสงค์ก็หมายถึงมีเรือแต่ขาดหางเสือ

วันนี้พอเท่านี้นะครับ เพียงเล่าให้ฟัง ลองเอาไปพิจารณาดูกันเอาเองนะครับ

และขอบทเรียนที่ผมถอดจากปรากฏการณ์ในช่วงนี้ และทำให้คนทั่วไปได้เรียนรู้ กลายเป็นผลบุญส่งผลให้ดาราที่กำลังประสบปัญหาชีวิต ได้ค้นพบปัญญา ทางออกในชีวิตที่ดี ผลกรรมผ่อนหนักเป็นเบา ผมเชื่อมั่นในศักภาพมนุษย์ ให้โอกาสกันนะครับ เขาได้ใช้ทั้งชีวิตของเขามาให้เราเรียนรู้แล้ว

คุณละคิดอย่างไร

https://hu.pinterest.com/pin/487585097134083570/



หมายเลขบันทึก: 619617เขียนเมื่อ 3 ธันวาคม 2016 16:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 ธันวาคม 2016 07:20 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ใจเย็นไว้นะคะ

จะได้ไม่มีเรื่องกับใคร

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท