เจดีย์ขาว (เจดีย์กิ่ว) โผล่กลางถนนเมืองเชียงใหม่ เพื่อ?????????


เมื่อ เจดีย์ขาว (เจดีย์กิ่ว) โผล่ขึ้นกลางถนนเมืองเชียงใหม่

ริมฝั่งตะวันตกแม่น้ำปิง จุดตลาดเมืองใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรแหล่งใหญ่ของภาคเหนือ..บนถนนที่คับคั่งด้วยยานพาหนะพ่อค้าแม่ค้า คนจับจ่ายซื้อของ นักท่องเที่ยว........บนถนนที่การจราจรจอแจ ตลอดเวลานั้น กลับมีเจดีย์สีขาวรูปทรงธรรมดาๆ ค่อนๆ ไปทางขี้เหร่ๆ ด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับเจดีย์รูปทรงสวยงามที่มีมากมายในเมืองเชียงใหม่ โผล่ขึ้นกลางถนนสามแยกระหว่างถนนวิทยานนท์และถนนวังสิงห์คำ เสมือนหนึ่งเป็นกรวยจราจรขนาดใหญ่ทำหน้าที่วงเวียนเสร็จสรรพ......จนครั้งหนึ่งเคยมีเด็กนักเรียนจอมเกรียนเสนอให้รื้อออก เพราะมันทำให้จราจรติดขัด........แล้วมันคือเจดีย์อะไร???????????????????????

......เมืองนพบุรี ศรีนครพิงค์ เชียงใหม่ มีชื่อเล่นว่า เชียงใหม่ ยุคสมัยหลังพญามังราย กษัตริย์ล้านนาผู้สถาปนาเมือง ราว พ.ศ.2425 (ประมาณการณ์เอาเน้อ) ทั้งเจ้าเมือง พลเมือง ต่างอยู่กันอย่างร่มเย็น ต่อนยอน ต่อนย้อน ต๊ะตอนยอน ชีวิตชิลๆ ช้าๆ สโลว์ไลฟ์สไตล์ล้านนา

ตามประวัติศาสตร์เมืองล้านนา หรือทางภาคเหนือจะปรากฏเรื่องราวการสู้รบกันน้อยมาก ทั้งๆ ที่มีการศึกอยู่เช่นกัน อาจด้วยลักษณะอุปนิสัยของคนทางเหนือที่มักเลือกวิธีสงบศึกสงครามด้วยทางการฑูตหรือเจรจาต่อรองมากกว่า เลยประวัติศาสตร์ไม่ค่อยมีนักรบเก่ง ๆ ดังๆ ให้กล่าวถึงมากนัก

แล้ววันหนึ่ง...ได้ปรากฏพลพรรคชายฉกรรจ์ จากแดนเมืองใต้ ยกพลขึ้นบก มาบุกเมืองเชียงใหม่ ท่านเจ้าเมืองผู้สุขุมนุ่มลึกไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกตกใจอะไร ยกจอกน้ำชาขึ้นจิบเบาๆ (เพราะมันร้อน) ด้วยทางทางกำลังใช้ความคิด

...”เอ็งไปเจรจาซิ ว่าจะเอายังไง” .........ท่านเจ้าเมืองสั่งออกไปยัง นักการฑูตนักเจรจามือวางอันดับหนึ่ง

เวลาผ่านไปชั่วยามหนึ่ง นักการฑูตมือวางอันดับหนึ่งพร้อมนายทหาร ก็กลับมาด้วยความกระหยิ่มในผลการเจรจา............เจ้าเมืองก็ยินดี อย่างน้อยก็หลีกเลี่ยงการเสียเลือดเนื้อพลเมืองได้....

นักการฑูตยิ้มอย่างภาคภูมิ พร้อมรายงานเนื้อหาให้เจ้าเมือง

การเจรจาตกลงเป็นไปด้วยอย่างที่ใจเราปรารถนา โดยมีเงื่อนไขเล็กน้อยดังนี้คับท่าน......(มือป้องปากกระซิบข้างหูเจ้าเมือง). “@#$#%$%^%&^*&(*(*%^$%!@$#%@$$^%^^&@#@$#$%$%$^^&$%#$#@!@@#$@@$^%&##@!#%%&$@#@#%$%$^$^$%$##@”...................

ฟังคำชี้แจงจบ...เจ้าเมืองหงายหลังตึง..ตกเก้าอี้คอแทบหัก....ต้องรีบปฐมพยาบาลยาดม ยาลม ยาหม่อง กว่าจะฟื้น

หลังจากฟื้นก่อนจะพูดอะไร ได้เขกกะโหลกท่านฑูตไปหนึ่งที “มึงไปรับปากอะไร ซื่อบื้อๆ แบบนี้ได้ไง ไม่ได้ถามกูเลย”....


หลังจากนี้อีก 7 วัน การประลองแข่งดำน้ำ เดิมพันบ้านเมือง จะเกิดขึ้นตามข้อตกลง (ของนักการฑูต) ระหว่าง คนเมืองเจียงใหม่ กับขุนพลแดนเมืองใต้

อธิบายเพิ่มเติม...คนแดนเมืองใต้ ในความหมายสมัยก่อนหมายถึงคนอยู่ใต้ลงไปจาก เขตล้านนาไป น่าจะแถวลุ่มน้ำอยุธยา แถวภาคกลาง ไม่ไช่ภาคใต้ที่อยู่เลยประจวบฯ แหลงใต้ ..พรือ ไม่พรือ ดังในปัจจุบันนะคับ

แต่ยังไงเสียเรื่องความเชื่ยวชาญ หรือวิถีชีวิตเกี่ยวข้องกับน้ำแล้ว เขาน่าจะได้เปรียบกว่าคนทางเมืองเหนือ ซึ่งคุ้นเคยกับที่ดอน ที่ดอยมากกว่า.....

ซึ่งตอนนี้ ท่านเจ้าเมือง คงเอามือกุมขมับอย่างไม่เข้าใจ ว่าทำไมมันไม่ท้าประลองแข่งวิ่งขึ้นดอยสุเทพว่ะ.. เผือกกกกไปรับคำท้าแข่งดำน้ำ.......

แต่ทำยังไงได้...ชีวิตถอยหลังก็ไม่ได้ ต้องเดินหน้ากันต่อไป จึงป่าวประกาศให้ผู้กล้าแห่งนครล้านนา อาสามาท้าประลองรักษาเมือง.......เช้าวันรุ่งขึ้น ผลจากการประกาศมากันตรึมมมม.....(อันนี้เจ้าเมืองมโนไปเอง)...เพราะแท้จริงแล้วไม่มีใครปรากฏตัวแม้แต่คนเดียวว.....จนดูเหมือนวันแรกแห่งการสมัครจะได้ความว่างเปล่า บ่ายๆ คล้อยได้ปรากฏชายวัยค่อนไปทางสูงวัย ร่างกายสูงผอมแห้ง หายใจเข้าออกทีนับซี่โครงได้ครบ (คนสมัยนั้นไม่ค่อยใส่เสื้อ) บุรุษผู้มาในนาม “เปียง” ชาวบ้านก็รู้จักแกดี เพิ่มเติมสรรพนามตามวัยว่า “ลุงเปียง”

“นี่นะหรือ ชะตากรรมเมืองเชียงใหม่ต้องมาฝากไว้กับชายสูงวัย ...เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง” ท่านเจ้าเมืองรำพึงกับตัวเอง แต่เพื่อไม่ให้เสียความตั้งใจ ท่านเจ้าเมือง จึงให้กลับไปก่อนไปฟิตซ้อม แต่แท้จริงคือ ในระยะเวลาที่เหลือเผื่อมีชายหนุ่มที่น่าจะฝากความหวังได้มากกว่านี้มาสมัคร......................

ด้านลุงเปียง หลังจากนั้นกลับมา เข้าฟิตเนส วิ่งจ๊อกกี้ง กินเนื้อ นมไข่ ฟิตร่างกาย เตรียมความพร้อม......สู้ตายยยยยย!!!!

และแล้ววันประลองมาถึง.........

มุมน้ำเงิน .....ชายหนุ่มรูปงามจากเมืองแดนใต้ หุ่นนายแบบ กล้ามท้องซิคแพค น้ำหนักชั่งเมื่อเช้า 70 กิโลกรัม ได้แก่ ปลาไหลเผือก ลูกเจ้าพ่อฮิปโป (แค่ชื่อก็ชนะขาดแล้ว ) เรื่องดำน้ำหายห่วง

มุมแดง......ชายชรา หุ่นเพรียว (ผอมแห้ง) ตัวแทนเมืองเชียงใหม่ มหานครมีแต่ผู้หาญกล้า น้ำหนักชั่งหลังทานข้าวเสร็จ 45 กิโลกรมได้แก่ ลุงเปียงงงงงงงง (สงสัยเจ็ดวันไม่มีใครมาสมัครสักคน)

ลุงเปียงมองหน้าคู่แข่ง อย่างองอาจ ..ถอดเสื้อ ผ้าขาวม้าคาดเอว สูดลมหายใจถ่ายเทอ๊อกซิเจน เห็นซี่โครงกระเพื่อมเล็กน้อย

“เรียยนนนนน....ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพรัก ทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่เคารพรัก ณ บันนี้จะมีการแข่งขันดำน้ำชิงเมือง มีกติกาเพียงสั้น ๆ ใคร อึด ทน นานนนน เป็นผู้ชนะ..........ได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์ ขออันเชิญผู้แข่งขันทั้งสอง บรรจงลงสู่ใต้บันดาล ได้แล้ว นะ จ๊ะ” (อันนี้ถอดจากภาษาคำเมืองให้แล้วนะคับ)

“...จ๋อมมมม !!!!! จ๋อมมมม!>> (เสียงคนกระโดดลงน้ำ)

กองเชียร์ นั่งอยู่บนตลิ่งฝั่ง ด้วยความระทึกใจ หวั่น ๆ ที่ตัวแทนชาวแพ้จะพ่ายแพ้ครั้งนี้ แม้ความหวังจะริบหรี่ แต่ก็ข่มความกังวลไว้ แสดงออกด้วยใบหน้าที่เชื่อมั่นในตัวลุงเปียง

.........รอ..ร้อ...รอ........

......ลุ้น...แล้ว ......ก็ลุ้นอีก....

เวลาก็ผ่านไป.....ไม่ได้ช้า หรือไม่ได้เร็วไปกว่าเดิม ..แต่ก็นานพอเกินไปที่มนุษย์ธรรมดา สามารถอดกลั้นหายใจในน้ำได้ขนาดนี้...มีเพียงฟองอากาศผุดขึ้นน้ำในบางจังหวะ ..ยิ่งเฝ้ารอนาน ใจยิ่งระทึก

ณ ทันใดนั้นปรากฏการณ์ร่างหนึ่งพุ่งพรวดจากใต้น้ำ.......แน่นอนมีการแพ้ชนะกันแล้ว...กองทัพมวลชนแดนใต้ ต่างเฮสนั่นนนนนน ..........นั่นไง ว่าแล้วต้องชนะ......................

ขยี้ตาอีกที อ้าววว.......เว้ยยยย.............เฮ้ยยยย ...นั่นมัน ปลาไหลเผือก ลูกเจ้าพ่อฮิปโป นี่หว่า...

แสดงว่าคนที่ยังอยู่ใต้น้ำ (ผู้ชนะ) ก็คือซุปเปอร์ฮีโร่ ลุงเปียง แห่งนครล้านนาของเรานี่หว่า

เจ้าเมืองและชาวเมืองสุดดีใจล้น “รออะไรละคับ.....ไชโยฉลองฉลองซิคับ” มิวสิคคคคคคค!!!!!!!!มา

“.....ต่อยอน ต่อย้อน ต๊ะต่อยอน ตอยอน ต่อหย่อน ..............”

“.....ต่อยอน ต่อย้อน ต๊ะต่อยอน ตอยอน ต่อหย่อน ..............”

“.....ต่อยอน ต่อย้อน ต๊ะต่อยอน ตอยอน ต่อหย่อน ..............”

“..เฮ้ยยยย เดี๋ยวก่อน.....! ท่านเจ้าเมืองสั่งหยุด นั่นทำให้โลกแห่งความสุขล้นเปรมปรีย์ หยุดหมุนลงตั้งอยู่ในความสงบนิ่ง

“....นี่มัน 3 ต่อยอนแล้วนะ ทำไม ซุปเปอร์ฮีโรของเรา ยังไม่โผล่หัวมา”

ความสุขสดชื่นของชาวเมือง แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้ากังวล

...”ทหารรรรร ลงไปดูลุงเปียงหน่อยซิ”

สายน้ำแม่ปิงยังคงไหลเอื่อย ทอดผ่านเมือง มวลสารแห่งน้ำพัดผ่านจากเหนือลงใต้ หล่อเลี้ยงชีวิตชาวนครพิงค์มาเนิ่นนาน ณ ขณะนี้ใต้ผืนแห่งน้ำแม่ปิง ปรากฏร่างชายวัยชราแห้งผอม สงบนิ่งมือจับหลักไม้ใต้น้ำแน่น หากแต่ไม่เพียงแค่นั้น ผ้าขาวม้าคาดเอว ตรึงกายแนบแน่นกับไม้หลักเช่นกัน...ลมหายใจชายชราผอมโซได้หยุดนิ่งลงแล้ว เพื่อต่อลมหายใจให้บ้านเมืองได้หายใจอยู่ต่อไป

ริมผลิ่งฝั่งแม่น้ำปิง ณ ที่ตรงนั้น ก้อนอิฐทีละก้อนๆ จากเจ้าเมืองและชาวเมืองเชียงใหม่ บรรจงเรียงต่อก่อเป็นรูปทรงเจดีย์ ด้วยแรงกาย ใจศรัทธา เจดีย์องค์นี้ เพื่อสดุดี จิตวิญญาณแห่งความกล้าหาญและเสียสละแด่ลุงเปียง แม้ร่างกายจะสูญสิ้นสลายไป แต่จะยอมให้ใครมาย่ำยีนี้ ได้อย่างไร

ปล.1 เป็นเรื่องเล่าเพื่อความบันเทิงเท่านั้น โปรดอย่าซีเรียสกับความสมจริง หากต้องการศึกษาเพิ่มเติมควรหาอ่านในตำราบันทึกประวัติศาสตร์ที่ผู้เชี่ยวชาญได้บันทึกไว้

ปล.2 เรื่องราวตำนานเจดีย์ขาว (เจดีย์กิ่ว) ความชัดเจนน้อยมาก บางแห่งบอกคู่แข่งเป็นชาวพม่า


Cr. ภาพจาก http://www.cokethai.com/forum/viewtopic.php?f=95&t=22344&start=135

http://yourchiangmai.com/th ถ่ายโดย คุณบุญเสริม สาตราภัย

ภาพจาก www.oknation.net

อ้างอิงจาก หนังสืออ่านหลายๆ เล่ม หลายๆ ที่มา แต่ละแห่งอาจจะไม่ตรงกันซะทีเดียว

หมายเลขบันทึก: 617515เขียนเมื่อ 27 ตุลาคม 2016 14:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 ตุลาคม 2016 14:07 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

-สวัสดีครับ

-อ่านประวัติเจดีย์ขาวแล้ว..

-ขอนำไปเล่าต่อนะครับ

-"เป็นเรื่องเล่าเพื่อความบันเทิงเท่านั้น โปรดอย่าซีเรียสกับความสมจริง หากต้องการศึกษาเพิ่มเติมควรหาอ่านในตำราบันทึกประวัติศาสตร์ที่ผู้เชี่ยวชาญได้บันทึกไว้....."

-ขอบคุณครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท