เย็นวันหนึ่ง ผมไปรับน้องจ้าที่โรงเรียน เมื่อเราเริ่มออกรถ น้องจ้าก็เอ่ยขึ้นมาว่า "จ้าอยากไปวัดมัชฌิมนะพ่อ จ้าจะไปตามรอยเอมอร" เธอกำลังหมายถึงวัดมัชฌิมาวาสวรวิหาร พระอารามหลวงในอำเภอเมืองสงขลา
เมื่อราว ๓ - ๔ เดือนก่อน ผมซื้อหนังสือมาเล่มหนึ่ง "ข้ามภพข้ามชาติ" ซึ่งอ่านติดพันมาจากในเฟซบุ๊ค ตั้งใจจะอ่านเอง แต่แม่ลูกสาวคนเล็กเกิดติดใจ และหยิบไปอ่านก่อนจนจบเล่ม แล้วพาไปสื่อสารกับเพื่อนๆในโรงเรียนจนมีคนอยากอ่านด้วยกันอีกหลายคน
ปรากฏการณ์จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ ทำให้น้องจ้าอยากดูโนราห์ อยากไปทะเลน้อย และอยากไปวัดมัชฌิม
กระทั่งวันนั้น เมื่อเธอบอกว่าอยากไปวัดดังกล่าว ผมจึงตอบตกลงในทันที
"อันที่จริงมันเป็นวิชาสังคมนะพ่อ เรากำลังเรียนเรื่องการสืบค้นประวัติ จ้าจึงตกลงกับเพื่อนๆว่า เราจะไปวัดมัชฌิม จะได้ไปดูสถานที่จริงหลังจากอ่านหนังสือมาแล้ว จะได้ทำรายงานอย่างที่อยากทำ น่าสนุกจังเลย"
เป็นไงครับ ได้ยินแบบนี้ ไม่จุดไฟให้ลุกก็โง่เต็มทน
อันที่จริง เรามาที่วัดแห่งนี้ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่แล้ว แต่สงสัยว่าคุณยายอมรศรีคงยังไม่อยากให้เราเข้าวัดในตอนนั้น เพราะเมื่อรถจอดที่หน้าวัด ฝนทั้งฟ้าก็ตกซัดลงมาจนมองแทบไม่เห็นทางข้างหน้า
ผมตัดสินใจขับรถวนไปเรื่อยๆเผื่อว่าฝนจะหยุดตก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถบังคับท้องฟ้าได้ จึงเดินทางกลับบ้าน แล้วปล่อยให้เด็กๆเคลียร์โต๊ะกินข้าวในครัวมาเป็นโต๊ะปิงปองจำเป็นเล่นกันไปก่อน
จนมาถึงวันนี้ วันที่อากาศดีเสียเหลือเกิน แดดไม่แรงมากนัก เราจึงไปสงขลากันอีกครั้ง
น้องจ้าเตรียมตัวเข้าวัดตั้งแต่เมื่อวาน เพราะเธอหัดนุ่งซิ่นและทดลองใส่ไปกินอาหารฝรั่งตั้งแต่เมื่อวานเย็น
ซิ่นผืนใหม่นี้ ผมซื้อมาให้จากงาน OTOP เมื่อวันศุกร์ ๒ สัปดาห์ก่อน เป็นผ้าฝ้ายย้อมครามหมักโคลนมาจนนุ่ม มันผืนใหญ่เสียจนชนรักแร้ของคนตัวเล็ก ได้เพื่อนแตงช่วยสอนวิธีการนุ่งออนไลน์จนพ่อสามารถช่วยแต่งตัวให้ได้
"มันน่ารักนิ" เมื่อนุ่งเสร็จก็อุทานออกมา
สมาชิกที่ร่วมเดินทางในวันนี้มีแก้มหอม ไผ่ ปันผล และจ้ากับพ่อ
ผมไม่ต้องตั้ง GPS เพราะรู้ทางอย่างดีจากการมา survey เมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากเลี้ยวซ้ายเข้าถนนไทรบุรี ขับต่อไปเพียงร้อยเมตร ก็จะพบทางโค้ง เราจะเห็นกำแพงวัดและ "ท้าววิรูปกฺโข" นั่งคุกเข่าถือธนูอยู่ที่มุมกำแพง ท่านคงเป็นยักษ์เฝ้าอยู่ที่นี่นานโข สายตาที่ดูอ่อนโยนเกินกว่าความเป็นยักษ์นั้นทอดมองออกไปยังทะเลสาบสงขลา สมัยนั้นท่านคงเฝ้าระวังศัตรูทางเรือมากกว่าทางถนนอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
อากาศดีมากครับ แดดยามบ่ายสองโมงไม่ใคร่จะร้อนมากนัก นั่นคงเป็นเพราะบริเวณวัดร่มครึ้มไปด้วยไม้ใหญ่มากมาย ลมเบื้องบนพัดแรง เสียงลมพัดกระทบใบไม้จากด้านบนดังซู่ๆอยู่ตลอดเวลา นี่ถ้าเป็นช่วงฤดูจั๊กจั่นผุดขึ้นจากดินเพื่อมาผสมพันธุ์กัน มันคงประสานเสียงแข่งกันสนุกสนาน
การจัดการของวัดหลวงแห่งนี้ดูดีเชียวครับ
เราได้รับการต้อนรับด้วยแผ่นแผนผังของวัดเป็นอันดับแรก ลูกสาวผมดูตื่นตาตื่นใจกับต้นโพธิ์ใหญ่บริเวณทางเดิน "นั่นคงเป็นต้นไม้ที่ฝังสร้อยข้อมือของเอมอรแน่ๆเลย" เธอตะโกนแล้ววิ่งนำเพื่อนๆไปดู จากนั้นจึงเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ของวัด เด็กๆได้เห็นปืนใหญ่โบราณ มีทุ่นระเบิดลูกเขื่อง ๒ ลูก และสิ่งน่าสนใจในอาคาร แม้นว่ามันไม่ได้มีมากเท่าที่อื่นๆที่เราเคยไปดูกัน แต่การไปพร้อมเพื่อนๆวัยเดียวกันก็สามารถทำให้ทุกสิ่งที่เห็นเป็นความตื่นเต้นไปได้เสียทั้งนั้น
เด็กๆได้เดินไปดูเจดีย์หิน ๗ ชั้นในตำนาน (ตามหนังสือเล่มนั้นแหละ ตำนานเหลือเกิน) เจ้าปันผลแทรกอารมณ์ขึ้นมาว่า "มันคงละเอียดเลยนะครับหมอแป๊ะ ตำนานน่ะ"
วิหารที่เราพยายามหาชื่อ หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ มันมีลักษณะก่อสร้างที่คล้ายกับการก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓ คือไม่มีช่อฟ้าใบระกา เสียอย่างเดียวก็ตรงไม่มีกระเบื้องเคลือบดินเผาไปประดับเหมือนที่เห็นที่วัดบวรฯ ไม่งั้นคงจะโม้ให้เด็กๆฟังได้เต็มปาก (อันนี้ผมคิดเองนะครับ ห้ามเอาไปต่อยอด เรื่องมั่วๆน่ะ ผมถนัด)
จากนั้นก็เข้าไปเดินดูในเขตโบสถ์ บริเวณด้านนอกมีรูปปั้นของจีนอยู่หลายชิ้น ผมคิดว่าที่มาที่ไปก็น่าจะคล้ายๆกับที่เคยเห็นที่วัดพระแก้ว มันน่าจะเป็นอับเฉาที่มากับสำเภาจีนสมัยที่การค้ารุ่งเรือง เพราะด้านในทะเลสาบก็น่าจะเป็นท่าเรือสำเภาค้าขายได้เช่นเดียวกัน (อันนี้ก็มั่วเอาเองเช่นกันนะครับ) เสียดายที่ไม่สามารถเข้าไปกราบพระด้านในได้ เพราะประตูปิดสนิทอยู่ทุกด้าน อันนี้เสียดายจริงๆ
หอพระไตรปิฎกของที่นี่สร้างได้แปลกดี เป็นอาคารก่ออิฐรูปทรงเรียวๆ สัดส่วนดูแปลกตา อันนี้มิสามารถวิจารณ์ได้ เพราะความรู้เรื่องนี้ของพ่อมันเท่าหางอึ่ง
เด็กๆเพลิดเพลินอยู่ในวัดได้เกือบชั่วโมง ผมจึงชวนออกไปเดินเล่นที่ถนนนางงาม
จุดหมายของเราอยู่ที่ร้านถ่ายรูป "ศิลป์" ร้านถ่ายรูปที่เก่าแก่ที่สุดบนถนนนางงาม ทำไมน่ะเหรอ เดี๋ยวก็รู้ครับ
เด็กทั้ง ๔ ได้แวะถ่ายรูปกับอากงบนสตรีทอาร์ท แวะทักทายคุณยายร้านของเล่นโบราณ ซื้อขนมจากร้านสองแสน และข้ามถนนมาด้านตรงข้ามก็จะเป็น ร้านถ่ายรูปที่มีชื่อว่า "ศิลป์" ร้านละเอียด (ตำนาน) ของเด็กๆ
คุณยายร่างบางออกมาทักทายเราทั้ง ๕
"คุณยายครับ เด็กๆเขาอยากจะมาดูรูปในร้านคุณยายครับ" ผมบอกความตั้งใจออกไปพลางเหลือบตาดูทั่วๆร้านอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศมืดๆสลัวๆภายในร้านชวนให้คิดไปถึงเรื่องเล่าจากหนังสือ นี่หากว่ามันมีรูปนั้นจริงๆ ผมจะทำหน้าอย่างไร
น้องจ้าหยิบหนังสือที่พกมาให้คุณยายดู พลางบอกว่า ภาพเด็กผู้หญิงหลายคนนั้น คือภาพถ่ายที่พวกเรากำลังตามหากันอยู่
คงด้วยสายตาที่ฝ้าฟาง คุณยายเพ่งมองดูรูปนั้นอยู่พักหนึ่งด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาได้ว่า ท่านกำลังดู ท่านกำลังนึก หรือท่านกำลังรู้สึกอย่างไร เพียงอึดใจ ท่านก็ถามออกมาว่า "ไปเอามาจากที่ไหนเหรอ"
ใกล้เข้าไปแล้ว เราคงจะได้รับคำตอบกันในเวลาไม่นาน
"ก็จากหนังสือเล่มนี้แหละครับ" ผมตอบออกมาด้วยความรู้สึกลุ้นอย่างแรง (ไม่รู้ว่าผมกำลังอินไปกับลูกเสียตั้งแต่เมื่อไหร่)
"ไม่มีหรอกลูก ที่ร้านไม่เคยมีรูปแบบนี้เลยค่ะ" คือคำตอบ คำตอบที่ทำให้ผมรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ผิดกับเสียงที่ออกมาจากเด็กๆที่แสดงได้ถึงความรู้สึกผิดหวัง
เราทั้ง ๕ สวัสดีลาคุณยาย และข้ามถนนไปยังโรงงิ้ว โรงงิ้วที่มีคุณยายท่านหนึ่งนั่งขายก๋วยเตี๋ยวอยู่อยู่ข้างใต้
"ก๋วยเตี๋ยวอยู่ใต้โรงงิ้ว ใครอย่าแซงคิว แม่ค้าแกปากไว" เสียงเพลงของพี่ศุ บุญเลี้ยง ดังขึ้นมาในหัวผมทันที ผมนึกเสียดายที่เวลานี้คือเกือบบ่าย ๓ โมง ช่วงเวลาที่เราอยากกินของหวานมากกว่ากินอาหารหนัก ก็เลยได้แค่ยืนดูใช้กิริยาเป็นการทักทายแทนการเข้าไปพูดคุย และข้ามถนนกลับมากินไอติมโอ่งเพื่อคลายความกระหายและคลายร้อน
เป็นอันว่า ทริปสงขลาในวันนี้ เด็กๆได้เนื้อหาสาระจากการมาทำรีเสิร์ชในสถานที่จริง ได้ค้นหาในสิ่งที่พวกเขาอยากรู้จริงๆ ได้ออกเดินหาต้นโพธิ์ อุโบสถ เจดีย์ ๗ ชั้น ร้านถ่ายรูป เดินหากันโดยไม่ได้ใช้ apps ที่ใช้หาโปเกม่อนอย่างที่กำลังเป็นปรากฏการณ์อยู่ในขณะนี้
มันดีกว่ากันเยอะ
แม้นไม่ได้มีไกด์อย่างคุณยายอมรศรีมานำทางเดิน ไม่ได้เห็นรูปที่แท้จริงของเอมอรและผองเพื่อนจากร้านถ่ายรูปเก่าแก่ แต่ทุกคนต่างรู้สึกมีความสุข ผมรับรู้ได้จากสิ่งที่ลูกๆทั้ง ๔ แสดงออกมา
ก่อนกลับบ้าน ผมแอบส่งรอยยิ้มแทนคำขอบคุณไปให้ "ท้าววิรูปกฺโข" ยักษ์ที่เหม่อมองออกไปยังทะเลสาบอย่างไม่เคยรู้สึกเบื่อในหน้าที่ของตนเอง
ธนพันธ์ ชูบุญ
บันทึกไว้ ณ วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๙
ขอบคุณครับ อ.ขจิต รูปงาม
ที่แท้อาจารย์ก็เป็นแฟนถนนสายนางงามอีกคน
สุดยอดคุณพ่อและที่สุดแห่งคุณครู
รู้สึกเพลินกับการตามรอยลุ้นไปด้วยค่ะ