เมื่อวันที่ 4-6 กันยายน 2549 ได้มีโอกาสเป็นวิทยากรจัดกระบวนการเรียนรู้เรื่อง ความรู้พื้นฐานในการทำงานส่งเสริมการเกษตร ให้กับเจ้าหน้าที่ของสถาบันหม่อนไหมแห่งชาติ โดยใช้สถานที่ของสถาบันหม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี เป็นที่พบปะของนักส่งเสริมฯที่อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานดังกล่าวทั่วประเทศ เป็นการจัดชั้นเรียน ประมาณ 80-100 คน
ก่อนที่จะไปทำกระบวนการกันจริง ๆ ดิฉันก็ได้สอบถามทีมงานที่ไปรับงาน มาว่า ...การพัฒนาบุคลากรของหน่วยงานแห่งนี้...1) เขาต้องการเป้าหมายอะไรบ้าง? และ 2) เขาต้องการให้เราทำอะไร? บทบาทไหนบ้าง? ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็คือ 1) เจ้าของงานชิ้นนี้ต้องการ “ปูพื้นฐานการทำบทบาทเป็นนักส่งเสริมการเกษตรในหน้าที่และภารกิจของ...การส่งเสริมฯ หม่อนไหม 2) เจ้าของงานต้องการให้เราไป “จัดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม” ให้กับผู้เข้ารับการ เรียนรู้ และ 3) เจ้าของงานเขามอบ “การจัดชั้นเรียน” ให้กับทีมงานของเรา
จากคำตอบดังกล่าวได้นำไปสู่การทำบทบาทหน้าที่ในเวทีเรียนรู้ก็คือ เราเป็น “วิทยากร กระบวนการ” ที่อำนวยความสะดวก (Facilitator)ให้กับเจ้าหน้าที่เรียนรู้ภายใต้ประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ ฉะนั้นการจัดชั้นเรียนจึงเริ่มต้นจาก
1) รวบรวมข้อมูลพื้นฐานของผู้เรียน
2) ออกแบบการเรียน การสอน
3) กำหนดแผนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม
4) จัดกระบวนการเรียนรู้
5) ประเมินและ สรุปผลและข้อเสนอแนะ
หลังจากนั้น ทีมวิทยากรกระบวนการซึ่งมีจำนวน 3 คน คือ 1) คุณสวัสดิ์ วิระวงศ์พรหม เป็นหัวหน้าทีม 2) คุณอรรถพร จิดามณี และ 3) คุณศิริวรรณ หวังดี (ผู้เขียน) ก็เริ่มต้นประชุม เพื่อกำหนดวัตถุประสงค์ กำหนดขอบเขตของเนื้อหาสาระ แผนการเรียนการสอน การประเมินและสรุปผล และการแบ่งบทบาทหน้าที่ ซึ่งสรุปได้ว่า
1. วัตถุประสงค์ การจัดการเรียนรู้ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเจ้าหน้าที่ของสถาบันหม่อนไหมแห่งชาติ ในการทำหน้าที่และภารกิจตามบทบาทของนักส่งเสริมการเกษตร
2. ขอบเขตของเนื้อหาสาระการจัดชั้นเรียนให้กับเจ้าหน้าที่มีกรอบของเนื้อหาสาระ แบ่งเป็น 9 กิจกรรม คือ 1) แนวคิดและวิธีการทำงานส่งเสริมการเกษตร 2) การสร้างกลยุทธ์และวิธีการส่งเสริมฯ อาชีพหม่อนไหมกับชุมชน 3) การรวบรวมประสบการณ์และองค์ความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพของเจ้าหน้าที่ 4) การวิเคราะห์พื้นที่และชุมชน 5) เทคนิคและเครื่องมือในการทำงานส่งเสริมการเกษตรกับเกษตรกร 6) การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 7) บทบาทการเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ (Facilitator) 8) การจัดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม และ 9) การสรุปองค์ความรู้ในงานส่งเสริมการเกษตร
3. แผนการเรียนการสอน การจัดทำแผนการเรียนการสอนเพื่อใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับเจ้าหน้าที่ได้กำหนดกรอบข้อมูล ประกอบด้วย 1) กิจกรรม/ประเด็น 2) ขั้นตอนการปฏิบัติ 3) เครื่องมือ/เทคนิค 4) ข้อสรุปที่เกิดขึ้น และ 5) เวลา/ผู้รับผิดชอบ
4. การประเมินและสรุปผล การประเมินผลการเรียนรู้ของเจ้าหน้าที่ได้ใช้วิธีการ ได้แก่ 1) สังเกตพฤติกรรมการทำงาน และการมีส่วนร่วมของผู้เรียน 2) จากชิ้นงานที่ปฏิบัติของกลุ่ม 3) จากการฝึกปฏิบัติ 4) จากการสนทนาแบบไม่เป็นทางการ และ 5) จากผลการประเมินโดยใช้แบบประเมินผล
5. การแบ่งบทบาทหน้าที่ การเป็น “วิทยากรกระบวนการ” ที่มีการทำงานเป็นทีมเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนในทีมงานควรจะต้องรู้และเข้าใจบทบาทที่ตนเองต้องปฏิบัติและกระทำ แบ่งออกเป็น 1) การนำเข้าสู่เนื้อหาสาระ 2) การเรียนการ สอน และ 3) การเชื่อมโยงและสรุปบทเรียน
โดยเจ้าหน้าที่ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการเรียนรู้จะประกอบด้วย 1) เจ้าหน้าที่ที่มาจากกรมส่งเสริมการเกษตร (เดิม) แล้วแบ่งแยกจากการปรับโครงสร้างให้มาสังกัดหน่วยงานดังกล่าว 2) เจ้าหน้าที่ที่มาจากกรมวิชาการเกษตร (เดิม) แล้วแบ่งแยกจากการปรับโครงสร้างให้มาสังกัดหน่วยงานดังกล่าว และ 3) เจ้าหน้าที่ที่มาจากหน่วยงานอื่น ๆ ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (เดิม) แล้วแบ่งแยกจากการปรับโครงสร้างให้มาสังกัดหน่วยงานดังกล่าว ฉะนั้น กลุ่มผู้เรียนจึงแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 มีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการทำงานส่งเสริมการเกษตรอยู่บ้างแล้ว ซึ่งมาจากกรมส่งเสริมการเกษตร และ 2) ไม่มีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการทำงานส่งเสริมการเกษตรที่มาจากหน่วยงานอื่น ๆ
ดังนั้น การจัดทำแผนการเรียนรู้ จึงยึดหลักการ ได้แก่ 1) การเรียนรู้ของผู้ใหญ่ 2) การจัดกระบวนการเรียนรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ 3) การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม 4) บทบาทของผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ (Facilitator) และ 5) ความแตกต่างระหว่างบุคคล การวางแผนการจัดกระบวนการเรียนรู้ในชั้นเรียนได้ออกแบบ โดยเริ่มจาก
ขั้นที่ 1 สร้างความคุ้นเคยและประเมินความคาดหวัง
ขั้นที่ 2 ให้แนวคิดและวิธีการทำงานส่งเสริมการเกษตร
ขั้นที่ 3 ฝึกปฏิบัติ “การสร้างกลยุทธ์ในการทำงานส่งเสริมการเกษตรกับชุมชน
ขั้นที่ 4 ฝึกปฏิบัติ “การวิเคราะห์พื้นที่และชุมชน”
ขั้นที่ 5 อภิปรายกลุ่ม “เทคนิคและเครื่องมือในการทำงานกับชุมชน
ขั้นที่ 6 ฝึกปฏิบัติ “การจัดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม”
ขั้นที่ 7 เสริมความรู้ “การปรับเปลี่ยนบทบาทนักส่งเสริมฯ เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้”
ขั้นที่ 8 เชื่อมโยงและสรุปบทเรียนในงานส่งเสริมการเกษตร
ขั้นที่ 9 เสริมความรู้ “การจัดการองค์ความรู้ในงานส่งเสริมการเกษตร
ขั้นที่ 10 ประเมินและสรุปผลการเรียนรู้ การจัดทำแผนการเรียนรู้ดังกล่าว สามารถปรับเปลี่ยนและยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นจริง
หลังจากนั้น ดิฉันกับทีมงานก็ได้ช่วยกันรวบรวม “สื่อการเรียนการสอน” เพื่อนำมาใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนในวันจริง ได้แก่ 1) VDO จำนวน 2 เรื่อง คือ เรื่องที่ 1 การสร้างเครือข่ายในการทำงาน และ เรื่องที่ 2 PAR กับงานส่งเสริมการเกษตร 2) กรณีตัวอย่าง “กลุ่มอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม” 3) แผนที่ประเทศไทย และ 4) สื่ออื่น ๆ ที่ทีมวิทยากรกระบวนการจะนำมาใช้ในแต่ละขั้นตอนของการจัดการเรียนการสอน
ในวันจริง คือ วันที่ 4-5 กันยายน 2549 เราได้มีการจัดชั้นเรียนจริง ๆ ได้เริ่มต้นจาก
ขั้นที่ 1 สร้างความคุ้นเคยและประเมินความคาดหวัง ซึ่งสรุป ได้ว่า เจ้าหน้าที่ที่เข้ารับการเรียนรู้ต่างมีเป้าหมายเพื่อต้องการนำความรู้ไปใช้ในการทำงานกับพื้นที่และชุมชน ได้แก่ การเป็นวิทยากรกระบวนการ เทคนิคและทักษะการทำงานส่งเสริมการเกษตร การจัดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การจัดกิจจกรมการเรียนรู้ การทำงานเป็นทีม การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการทำงานเป็นทีม
ขั้นที่ 2 ให้แนวคิดและวิธีการทำงานส่งเสริมการเกษตร ซึ่งสรุปได้ว่า นัก ส่งเสริมการเกษตรทำหน้าที่ช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกรให้ประกอบอาชีพทางการเกษตรให้บรรลุผล โดยมีการทำงานให้ยึดหลักการ ได้แก่ สามัคคีธรรม สังคหวัตถุ 4 และอื่น ๆ การทำงานส่งเสริมฯ การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ควรเป็นลักษณะที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการกระทำจริง การให้เกษตรกรเป็นศูนย์กลาง และสร้างเครือข่ายในการทำงาน ส่วนเนื้อหาสาระควรมีความรู้เกี่ยวกับ การผลิตหม่อนเลี้ยงไหม การตลาด การติดตามและประเมินผล และ อื่น ๆ
ขั้นที่ 3 การเชื่อมโยงประสบการณ์เรียนรู้สู่การทำงานเป็นทีม โดยนำกิจกรรม“ไดโนเสาร์” มาใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้ร่วมกันทำงาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ร่วมกันสรุปได้ว่า การทำงานเป็นทีมจะมีกฎเกณฑ์และระเบียบคอยกำกับสมาชิกในทีม และการทำงานให้สำเร็จนั้น องค์ประกอบของทีมงานเป็น สิ่งจำเป็น ได้แก่ 1) ผู้นำ 2) เป้าหมาย 3) คน/สมาชิก 4) ความรู้ 5) การวางแผน/ออกแบบงาน 6) การจัดสรร/แบ่งงาน 7) ทรัพยากร 8) กิจกรรม สิ่งเหล่านี้จะนำมาซึ่งประสบการณ์ที่เจ้าหน้าที่ได้รับ
ขั้นที่ 4 การกำหนดเป้าหมายงาน โดยใช้ AIC เข้ามาเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ภายใต้การตั้งคำถามว่า 1) ท่านเห็นงานหม่อนไหมในตอนนี้เป็นเช่นไร และ 2) ท่านต้องการเห็นงานหม่อนไหมในอนาคตเป็นเช่นไร โดยให้ทำเป็นรายบุคคล หลังจากนั้นให้นำมารวมเป็นกลุ่ม แล้วมีการนำเสนอ แล้วสรุปเป็นภาพรวมของกลุ่มใหญ่ (4 กลุ่ม) ซึ่งสรุปได้ว่า การทำงานหม่อนไหมเป็นงานที่สร้างเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนได้ ฉะนั้น การทำงานจึงควรประกอบด้วย การทำงานที่เป็นระบบ (ข้อมูลพื้นฐาน วิเคราะห์ สรุป) มีความต้องการของชุมชน มีการจัดทำเป็นแนวทางและแผนการพัฒนาหม่อนไหมในการทำงาน มีแผนพัฒนากลุ่มอาชีพ มีแผนปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ มีฐานกลุ่มอาชีพ มีการสนับสนุน และมีการติดตามประเมินผล
ขั้นที่ 5 วิเคราะห์พื้นที่และชุมชน โดยใช้แผนที่เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ของเจ้าหน้าที่เป็นกลุ่ม ภายใต้คำถามว่า 1) ความสำเร็จของอาชีพผลิตหม่อนเลี้ยงไหมนั้นดูได้จากอะไรบ้าง? 2) อาชีพหม่อนไหมที่ทำสำเร็จตอนนี้มีอยู่ที่ไหนบ้าง? 3) แล้วกลุ่มที่ทำสำเร็จนั้นเขามีกระบวนการผลิตอย่างไร? ได้แก่ ผลผลิตจำนวนเท่าไหร่ จำนวนต้นทุนการผลิตเท่าไหร่? มีรายได้เท่าไหร่? และ ได้กำไรเท่าไหร่? และ 4) แล้วในแต่ละขั้นตอนการผลิตพบปัญหาอะไรบ้าง? และมีทางออกของการแก้ปัญหานั้นอย่างไร? ซึ่งข้อสรุปที่ได้คือ ในการทำงานส่งเสริมการผลิตหม่อนเลี้ยงไหมนั้น เจ้าหน้าที่ควรจะดูข้อมูลพื้นฐานที่เกษตรกรทำอยู่ ได้แก่ กระบวนการผลิตที่เกษตรกรทำจริง ๆ นั้นมีกี่รูปแบบ แต่ละรูปแบบให้ผลกำไรเท่าไหร่และลงทุนเท่าไหร่ และในรูปแบบนั้น ๆ เกษตรกรพบปัญหาอะไรบ้าง? ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นองค์ความรู้ของชุมชน/กลุ่ม ที่เจ้าหน้าที่นำมาใช้เป็นฐานในการทำงานและพัฒนาอาชีพให้กับเกษตรกรได้ โดยเนื้อหาสาระดังกล่าวที่เกษตรกรทำจะนำมาสู่ Best Practice หรือตัวอย่างของเกษตรกรที่ประกอบอาชีพหม่อนไหมแล้วประสบผลสำเร็จได้
ขั้นที่ 6 กลยุทธ์การทำงานส่งเสริมการเกษตรกับชุมชน โดยใช้สื่อการเรียนการสอน (VDO) ที่มีการทำงานประสบผลสำเร็จเรื่อง การสร้างเครือข่ายในการทำงาน เป็นสื่อในการเรียนรู้ให้กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งสรุปว่า การทำงานส่งเสริมการเกษตรให้บรรลุผลสำเร็จนั้น “เครือข่าย” นำมาใช้เป็นวิธีการและเครื่องมือให้กับเจ้าหน้าที่ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันได้
ขั้นที่ 7 การจัดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม โดยนำ Case Study ของกลุ่มอาชีพหม่อนไหม มาใช้เป็นสื่อในการเรียนรู้ให้กับเจ้าหน้าที่ได้ฝึกปฏิบัติ ได้แก่ การรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน การวิเคราะห์ศักยภาพของกลุ่ม (SWOT) ปัญหาอุปสรรค และแนวทางการพัฒนาที่เป็น ไปได้ หลังจากนั้น การนำเสนอการเรียนรู้ได้จัดเวทีสรุปบทเรียนเป็น “เวทีการเสวนา” ในเนื้อหาสาระดังกล่าว ซึ่งสรุปว่า เจ้าหน้าที่ต่างมีคุณลักษณะของการทำหน้าที่เป็นนักส่งเสริมฯ คือ กล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็น กล้าแสดงออก การเป็นผู้นำ และสามารถจัดเวทีการสนทนาและพูดคุยที่ให้คนอื่นมีส่วนร่วมได้
ขั้นที่ 8 เสริมความรู้ เรื่อง การเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ (Facilitator) โดยวิทยากรกระบวนการ เป็นผู้สรุปและเติมเนื้อหาสาระเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ แนวคิดหลักการ องค์ประกอบ และผลที่เกิดขึ้น ของ Facilitator ที่เจ้าหน้าที่ปรับเปลี่ยนบทบาทในการทำงานกับชุมชน แล้วทำการเปรียบเทียบกับการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจริงกับเจ้าหน้าที่ที่เรียนรู้ในครั้งนี้
ขั้นที่ 9 การวิจัยชุมชน โดยใช้สื่อการเรียนการสอน (VDO) เรื่อง PAR กับงานส่งเสริมการเกษตร เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้เห็นพัฒนาการในการเรียนรู้และการประกอบอาชีพของเกษตรกรที่ได้นำ “วิธีการวิจัย” มาพัฒนาอาชีพทางการเกษตร และเป็นการกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ได้เกิดการพัฒนาตนเองให้รู้เท่าทันเกษตรกร
ขั้นที่ 10 เชื่อมโยงและประมวลสรุปข้อมูล การเรียนรู้ในครั้งนี้ได้จบบทเรียน คือ “ในตอนนี้ได้มีโรงเรียนปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเกิดขึ้นแล้ว โดยทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ที่เป็น “วิชาชีพเฉพาะ” ให้กับผู้เรียนที่มีอยู่มากมายและหลากหลายตามความต้องการของผู้รับบริการ ฉะนั้น ครูผู้สอนจึงต้องหาความต้องการของผู้เรียนก่อนว่า “นักเรียนเขาต้องการเรียนรู้เรื่องอะไร บ้าง? และ ต้องการเรียนรู้แบบไหน?” เพื่อโรงเรียนแห่งนี้จะได้จัดเนื้อหาวิชา และจัดการเรียน การสอน ได้ตรงตามความต้องการของนักเรียนซึ่งเป็นผู้ใหญ่และต่างมีประสบการณ์ในเรื่อง เหล่านี้ ได้แก่ เรื่องการผลิต เรื่องการตลาด เรื่องระบบน้ำ เรื่องการแปรรูป เรื่องโรคแมลง เรื่องการถ่ายทอดความรู้ และ เรื่องการทำวิจัย ส่วนเทคนิคการเรียนรู้ที่นำมาใช้นั้น ได้แก่ ใช้สื่อบุคคล สื่อโสตทัศน์ การอภิปรายกลุ่ม การจัดเสวนา การระดมสมอง การสนทนา และอื่น ๆ ฉะนั้นครูผู้สอนจึงต้องถามตนเองว่า... ตัวเรานั้นมีความรู้และทำเป็นหรือยัง? ได้แก่ เรื่องขยายพันธุ์ เรื่องการผลิตไข่พันธุ์ดี เรื่องการสาวไหม และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเครื่องมือต่าง ๆ ที่จะนำมาใช้ในการทำงานกับชุมชน ได้แก่ PAP AIC PAR และอื่น ๆ ส่วนการจัดชั้นเรียนนั้นครูควรจะออกแบบการเรียนการสอนเป็น ได้แก่ การนำเข้าสู่การเรียนรู้ การเรียนการสอน การสรุปบทเรียน และการประเมินผลการเรียนรู้ เช่น การรวบรวมและประมวลข้อมูลโดยใช้ Problem-Tree การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ Diagram และ อื่น ๆ เป็นต้น ซึ่งถ้าเรารู้แต่ชาวบ้านไม่รู้และถ้าชาวบ้านรู้แต่เราไม่รู้ เราก็ทำหน้าที่เป็นผู้จัดเวทีให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันได้ แต่ถ้าทั้งเราและเขาไม่รู้เราก็ร่วมกันศึกษาวิจัยหรือค้นหาผู้รู้จริงที่ทำอาชีพนี้แล้วบรรลุผลสำเร็จมาเป็น Best Practice โดยเราทำหน้าที่และบทบาทของผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ (Facilitator) ในการเรียนการสอน แต่ทั้งนี้ข้อมูลพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญที่โรงเรียนแห่งนี้ควรจะต้องมีและต้องรู้ว่า...รูปแบบการผลิตหม่อนไหมนั้นมีกี่รูปแบบ มีอยู่ที่ไหนบ้าง และอื่น ๆ เพื่อนำมาเก็บเข้าสู่คลังความรู้เพื่อเป็น Best Practice ให้กับเราได้” ดังนั้น นักส่งเสริมการเกษตรจึงต้องเรียนรู้บทบาทหน้าที่ เครื่องมือในการทำงาน วิธีการชวนชาวบ้านคุย และการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะส่งผลให้การทำหน้าที่และภารกิจขององค์กรที่เราได้รับมอบหมายมาให้บรรลุผลสำเร็จได้
เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับเจ้าหน้าที่ของสถาบันหม่อนไหมแห่งชาติ จำนวน 2 วัน ที่ได้ปฏิบัติงานกันเป็นทีมวิทยากรกระบวนการนั้น ได้เกิด ผลการปฏิบัติ โดยพบว่า
1) เจ้าหน้าที่หรือผู้เรียนมีส่วนร่วมอยู่ในระดับ 70-80 %
2) เจ้าหน้าที่หรือผู้เรียนมีความต้องการเรียนรู้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในสถานการณ์จริง
3) การปรับแผนการเรียนรู้หรือแผนการเรียนการสอนเกิดขึ้นอยู่ในระดับ 20-30 % ซึ่งเป็นผลมาจากเวลา และความแตกต่างระหว่างบุคคล ได้แก่ ประสบการณ์ อายุ วัยวุฒิ คุณวุฒิ และอื่น ๆ
4) การจัดเวทีกลาง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ในอาชีพหม่อนไหมได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในวิชาชีพและทำความคุ้นเคยกันนั้น เป็นช่องทางของการพัฒนาบุคลากรที่นำประสบการณ์ของแต่ละคนมาร่วมเรียนรู้กันได้ค่อนข้างดี และทำให้มีบรรยากาศของการเรียนรู้
ส่วนข้อเสนอแนะ คือ
1) การพัฒนาเจ้าหน้าที่ควรมีความต่อเนื่อง
2) การพัฒนาเจ้าหน้าที่เมื่อเสริมความรู้ที่เป็นภาพรวมหรือพื้นฐานการทำงานแล้วนั้น ควรมีการจัดชั้นเรียนเฉพาะสาขา และเป็นวิชาเฉพาะเรื่อง เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ จริง ๆ
3) การปรับเปลี่ยนบทบาทการทำงานของเจ้าหน้าที่ “ทัศนคติ” เป็นสิ่งสำคัญที่ควรมีการสร้างจิตสำนึกต่ออาชีพนักส่งเสริมการเกษตรกันอย่างจริงจัง และควรปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรม
4) การจัดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ที่เจ้าหน้าที่ทำบาทบาทของ “วิทยากรกระบวนการ” หรือ Facilitator นั้นพึงระลึกอยู่เสมอว่า “ทุกอย่างปรับเปลี่ยนแผนได้” แต่อยู่ภายใต้หลักการเดิม ฉะนั้น ผู้ทำหน้าที่ดังกล่าวควรจะเปิดวิสัยทัศน์และพร้อมสำหรับการรับฟังผลการประเมินจากผู้เรียนเพื่อนำไปสู่การปรับแก้งานในครั้งต่อไป
5) “การลงมือทำจริง” จะทำให้เราเกิดประสบการณ์ที่สั่งสมและกลายเป็นองค์ความรู้ได้ ได้แก่ การจัดกระบวนการเรียนรู้ วิทยากรกระบวนการ การออกแบบการเรียนการสอน และแผนการเรียนการสอน
จากการทำงานชิ้นนี้ ทำให้ดิฉันได้รับประสบการณ์เพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง คือ “เทคโนโลยีการผลิตหม่อนไหม” ที่ได้เรียนรู้จากเจ้าหน้าที่ที่มีอาชีพเป็นนักส่งเสริมการเกษตรด้านเนื้อหาสาระที่เป็นวิชาชีพเฉพาะ แต่ดิฉันก็มีสิ่งหนึ่งที่ไปแลกเปลี่ยนกับเจ้าหน้าที่ที่เข้ารับการเรียนรู้ด้วยเช่นกันก็คือ “การทำหน้าที่เป็น...วิทยากรกระบวนการ” โดยจัดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมให้เขาเหล่านั้นได้เห็นและได้สัมผัสกันจริง ๆ โดยตัวของเขาเองเป็นสื่อการเรียนการสอนให้กับดิฉ