วันที่ 18 พ.ย.49 ผมเห็นแสงสว่างของ "การจัดการความรู้ทุกหย่อมหญ้า" ในแผ่นดินไทย
เราจะใช้วิธีคิดและเทคโนโลยีของ ผศ. ดร. เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ครับ โดยมีหลักการว่า
1. ผู้สร้างความรู้ (จากการปฏิบัติ) เป็นผู้สร้างสาร (สาระ - เนื้อหาที่จะสื่อ) และร่วมผลิตสื่อ
2. ผู้ทำงานเพื่อสร้างความรู้ สร้างชุมชนเข้มแข็ง สร้างสรรค์สังคม เป็นผู้ผลิตสื่อและร่วมทำงานด้านการสื่อสารสาธารณะ สื่อสารด้านบวก
3. ภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ ร่วมกันสร้างช่องทางการผลิตสื่อและใช้สื่อโดยผู้ทำงาน
4. ผู้ผลิตสื่อคือ ผู้รับสาร และผู้รับสารคือผู้ผลิตสื่อ ซึ่งก็คือการ ลปรร. กันนั่นเอง หรือกล่าวให้กว้างขึ้นอีก คนทุกคนเป็นผู้สื่อข่าวและผู้สร้างสาร
เราจะใช้สื่อหลากหลายช่องทางครับ
- สื่อวีซีดี จะเป็นเป้าหมายหลัก
- สื่อวิทยุ โทรทัศน์
- สื่อหนังสือพิมพ์
- สื่อสิ่งพิมพ์ : จดหมายข่าว แผ่นพับ
ดร. เอื้อจิต เสนอต่อ นพ. พลเดช ปิ่นประทีป เลขานุการ รมต. กระทรวงพัฒนาสังคมฯ ว่า ควรจัดให้มีศูนย์แลกเปลี่ยนสื่อ (วีซีดี ฯลฯ) ประจำจังหวัด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม บอกผมว่า ต้องการใช้ KM เป็นเครื่องมือในการ ลปรร. ความสำเร็จที่ชาวบ้านรวมตัวกันพัฒนาความรู้เพื่อการทำมาหากินและการดำรงชีวิตร่วมกัน จนเกิดชุมชนเข้มแข็งมากมายหลายพันกลุ่มหรืออาจจะเป็นหมื่น เมื่อวานก็ไปจัดเวทีพัฒนายุทธศาสตร์สังคมแห่งชาติ จุดประกายความคิด กำหนดทิศ สู่สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมี ศ. นพ. ประเวศ วะสี เป็นผู้เสนอยุทธศาสตร์ 10 ข้อ ได้แก่
1. ความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่นและประชาสังคม
2. เศรษฐกิจพอเพียง การมีสัมมาชีพเต็มพื้นที่
3. การรักษาดุลยภาพสิ่งแวดล้อม
4. ความมีน้ำใจ ไม่ทอดทิ้งกัน
5. การพัฒนาจิตใจ
6. ระบบการสื่อสารที่ทำให้คนไทยรู้ความจริงโดยทั่วถึง
7. ระบบสุขภาพที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์
8. ระบบการศึกษาที่คุณธรรมนำความรู้
9. การพัฒนาอย่างบูรณาการทั้งจังหวัด
10. การปฏิรูประบบความยุติธรรมและความเป็นธรรมทางสังคม
ผมตีความว่า ในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ด้งกล่าว ผู้ปฏิบัติ ("คุณกิจ") และ "คุณอำนวย" จะร่วมกันสร้างความรู้จากการปฏิบัติในทุกหย่อมหญ้าและทุกภาคส่วนของสังคมไทย
แล้วเราจะใช้ยุทธศาสตร์ที่ 6 และยุทธศาสตร์ "ผู้ปฏิบัติเป็นผู้ผลิตสื่อและผู้สื่อสาร" ก็จะเกิดการ ลปรร. แบบ nF2F (non - Face to Face ซึ่งก็คือการสื่อสารโดยไม่ต้องพบหน้า) ขึ้นมาเสริมการ ลปรร. แบบ B2B และ F2F
ก็จะเกิด KM ในทุกหย่อมหญ้าของแผ่นดินไทย
เป็นขบวนการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สังคมอุดมปัญญา หรือสังคมที่มีความรู้เป็นฐานนั่นเอง
ผศ. ดร. เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ กำลังเสนอแนวคิดในการใช้การสื่อสารสาธารณะ เพื่อสร้างความเข้มแข็งของภาคประชาสังคม
หลักการของ ดร. เอื้อจิต
สิ่งท้าทาย
ตัวอย่างของการผลิตสื่อเพื่อประชาสังคม สำนักข่าวเด็กและเยาวชน จ. เลย มาถ่ายวิดีทัศน์การประชุม สำหรับนำไปออกรายการในท้องถิ่น ผู้ถ่ายทำเป็นนักเรียนชั้น ม. ๑
นายกรัฐมนตรี กำลังแสดงทัศนะและความมุ่งมั่นต่อการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ ๑๗ พย. ๔๙
วิจารณ์ พานิช
18 พ.ย.49
" ดีมากครับ....อาจารย์สะท้อนภาพลักษณ์นี้แหละช่องทางการทำสื่อ.... อาชีพเก่าผมล่ะ.... คาดหวังว่าจะเกิดจริงนะครับ
เพื่อเสริมแนวความคิดในเรื่องศูนย์แลกเปลี่ยนสื่อ เราสามารถทำ virtual media library ผ่านอินเตอร์เน็ตได้นะครับ โดยศูนย์แต่ละศูนย์ไม่จำเป็นต้องมี hard copy ของ media ทั้งหมด
ทำเช่นนี้เราจะมีต้นทุนในการจัดตั้งศูนย์ที่ต่ำกว่าและทำได้เร็วขึ้น รวมทั้งสามารถทำจำนวนศูนย์ได้มากขึ้นด้วยครับ คือแทนที่จะเป็นระดับจังหวัด เราสามารถทำศูนย์ระดับอำเภอได้เลย หรือตำบลก็ยังได้ สำหรับตำบลที่อยู่ในเขต high-speed internet
ต้นทุนในการบริหารจัดการก็ไม่ยากครับ สอนคนดูแลให้ download แล้ว burn CD เดี๋ยวเดียวก็ได้ครับ
นอกจากนั้นคนอื่นที่มี high-speed internet ก็ไม่จำเป็นต้องมาที่ศูนย์ด้วยครับ
ผมว่า สคส. เริ่มตั้งต้นทำตัวอย่างก่อนได้เลยครับ เพราะ INET ก็สนับสนุนเราอย่างเต็มที่ในเรื่องนี้อยู่แล้วด้วยครับ
ได้อ่านการเล่าเรื่องของอาจารย์ผ่านทางweb
gotoknow ทำให้ได้มีโอกาสนำมาใช้ในการทำงาน
ได้มาก ปัจจุบันกำลังทำโครงการการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการสร้างเสริมสุขภาพโดนเน้นการมีส่วนร่วมของ บ้าน วัน โรงเรียนและสาธารณสุข( บวร สุข)
จากเดิมเน้นบวร และหลังการทำกิจกรรมก็จะมีการทำ
AAR โดยโครงการนี้ขอรับการสนุบสนุนจาก สปสช.
โดครงการผ่านด่านที่1 แล้วจะมีการนำส่งรายละเอียดโครงการ เพื่อให้ทางที่ปรึกษาประเมินครั้งที่2 ต่อไป
ขอกำลังใจจากอาจารย์ด้วยนะค่ะ