(๑) -- มีคนหลายคนบอกว่า "ชีวิตคือ ปัญหา หรือคือ ทุกข์" (Life is problem at hand )ถ้าเช่นนั้น คนที่พูดนี้ ย่อมเห็นแก่นสารของชีวิตได้ แต่อาจไม่รู้จุดนี้ เพราะขาดการสืบสานไปสู่หลักความจริงที่พระพุทธศาสนาสอน อันที่จริง เรามีสภาวะเช่นนี้ทุกคน ไม่ว่าชนชาติไหน แต่เพราะเรามีวัฒนธรรม ศาสนา สังคมต่างกัน จึงทำให้มุมมองต่างกัน และยึดถือตามหลักนั้นๆ จนละเลยความจริงที่อิงธรรมชาติไป
(๒) -- ความจริงแบบธรรมชาติ (Natural reality) เป็นความจริงที่ไม่มีกำแพงขวางกั้น เป็นความจริงที่สิงสถิตย์ในร่างกาย จิตใจทุกคน ที่เผชิญอยู่ทุกวันๆ กล่าวคือ ความจริงทางกายภาพ จากความหิว ความรู้สึกเจ็บปวด เจ็บป่วย เหนื่อย ฯ ความจริงทางจิตใจคือ ความอยาก ความโกรธ ความรัก ความชอบ ความทุกข์ ความสุข ความคับแค่นใจ อึดอัดใจ ฯ ล้วนแต่เป็นความจริงทางธรรมชาติทั้งสิ้น
(๓) -- ความจริงเหล่านั้น ก็ยังไม่เท่ากับความจริงที่ถาวรที่ฝังอยู่ชีวิต ในภพของเราทุกคนนั่นคือ "ความจริงจาก การเกิด การแก่ การเจ็บป่วยและการตาย" นี่คือ ความจริงสุดยอดของชีวิต ที่ทุกคนเผชิญ อยู่ที่ว่า ใครจะวางรากฐานพื้นเพทางจิตใจ ความรู้ สติ ปัญญา แล้วแสดงท่าทีต่อสิ่งเหล่าได้อย่างสง่างามอย่างไร คนยุคนี้ มีท่าทีต่อสิ่งเหล่านี้ในรูปแบบ "สายด่วน" (Hot line)
(๔) -- การดำเนินชีวิต ในโลกความจริงคือ การเผชิญกับสิ่งที่กระทบอยู่ตลอดเวลาจากสังคม สิ่งแวดล้อมและที่เป็นปัญหาคือ ทางจิต น่าคิดว่า เราเกิดมาไม่รู้ความจริงๆ เล็กๆ น้อยเหล่านี้ นอกจากความจริงทางมายา ที่จิตใจถูกกระตุ้นให้คิดฝันตามกระแสสังคม ทำให้เราเหินห่างบ้านใจของตนเรื่อยๆ จนเกิดผลกระทบที่สะสมในใจ จนนำไปสู่ความทุกข์ ความเครียด ความอึดอัดใจ จนต้องทำร้ายกายตน ทั้งๆ มันไม่รู้เรื่องเลย กลับต้องมารับผลกรรมของจิตแทน
(๕) -- ที่จริงปัญหาและคำตอบมันอยู่ข้างเคียงกัน และอยู่ในวิถีที่ใกล้เคียงกิจกรรมประจำวันของเรานี้เอง เช่น การกิน การอยู่ การนอน การทำ การพูด การนั่ง ฯ ทุกอิริยบถคือ กิริยาความจริงของธรรมชาติที่แสดงออกมาตรงๆ ต่อเรา เพียงแต่เราเอาใจเอาจิตออกไปนอกตัว มองหาคนที่ชอบ สิ่งที่รัก คิดฝันในสิ่งที่หวัง สร้างมายาในใจตนเอง จนล้นหลาก ทำให้มันท่วมท้นสายตาเนื้อ ที่จะเห็นกระแสความจริงปรากฎต่อตนเอง
(๖) -- บ่อยครั้ง ที่เราเกิดอาการ "ซาโตริ" (suddenly knowing) ในตัวเองในเวลาเข้าห้องน้ำ เวลาปลดทุกข์ นี่คือ ความอิสระทางความคิดและความสุขเล็กๆ ของกาย ที่ได้ปลดเปลื้องทุกข์ออกไป มันทำให้จิตใจมองเห็นมุมคิด และต่อยอดความจริงของร่างกายได้ ทัศนะวาบวับ เกิดมาจากห้องแคบๆ นี้หลายครา และออกมาเป็นบทความก็มี มันเป็นความจริงที่เราสามารถหาพบและคว้ามันไว้ในบทบันทึก
(๗) -- หากมองให้ตื้นๆ ไปหาความลึก จะพบว่า จุดเริ่มของความคิด ที่มีจิตเป็นผู้นำพาคือ กาย และมีข้อมูล เป็นเครื่องกระตุ้น ยุแหย่ แซ่ซ้อง ร้องตะโกน ให้เราเกิดอาการตื่นเต้นหรือตกใจกับภาพที่เห็น มันเป็นความจริงที่ทับซ้อนในมายาของชีวิต เด็กยุคใหม่ คนรุ่นใหม่มักจะหลงกลมายาเหล่านี้ มักมองว่า ชีวิตคือสิ่งสวยงาม ที่จริงมันเป็นเช่นนั้นในเบื้องต้น แต่เมื่อมองให้ถึงสุดสายปลายทางของมันจุดจบคือ ความตาย
(๘) -- แต่ไม่ได้แปลว่า ชีวิตจะหาความสุขไม่ได้ หรือจะให้อินอยู่กับความตายทั้งชีวิต อันนี้ก็เช่นกัน มันก็ทับซ้อนกับความจริงที่หลีกไม่ได้ หมายความว่า มันเดินข้างกันไปกับความจริงระหว่างความเป็น ความตาย ความงามกับความไม่งาม ความสุขกับความทุกข์ ให้ดูอารมณ์ ความคิด จิตใจเป็นกระดานบอร์ด ที่ประกาศและแสดงความจริงให้ปรากฎอยู่เสมอ เพียงแต่ใจหรือกระแสนิยมของโลกนั้นมันปิดไว้กั้นไว้ มิให้เน้นด้ายลบของชีวิต
(๙) -- กุญแจของใจที่จะแก้ปัญหาชีวิตนั้น ไม่มีสูตรตายตัว แต่มีลูกกุญแจที่ตายตัวคือ "ตนเอง" ในที่นี่คือ "จิต" ในที่นี่คือ "สติ ปัญญา" ในที่นี่คือ "ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เป็น และผู้แก้" ปัญหา เรียกว่า "one stop-service" เวลามีปัญหา มี ๒ คนที่จะแก้ได้คือ ตัวเองและคนอื่น โดยพื้นฐานชีวิตแต่ละชีวิตจะต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง การมอบภาระให้คนอื่นแก้นั้น เป็นการแก้ที่ไม่ถาวร ทุกคนต้องรับผิดชอบตัวเอง ยกเว้นกรณีคนนั้น แก้ปัญหาตัวเองไม่ได้ ในทางกายภาพเนื่องจาก เด็กเกินไป พิการ ฯ
(๑๐) -- ดังนั้น ความจริงที่ปรากฎคือ ความจริงจากสายตาตนเอง และสายตาจิตข้างใน ที่จะมองเห็นภาพรวมและภาพเฉพาะออก นั่นคือ กุญแจใจ ที่จะแก้ไขปัญหาชีวิตได้ ปัญหาชีวิตมาจาก ๑) กาลของชีวิตเอง เกิด - แก่ - ตาย ๒) มาจากคนอื่น - ลูก เมีย สามี เพื่อน สังคม ๓) มาจากสิ่งรอบข้าง - ธรรมชาติ ภัยพิบัติต่างๆ ๔) มาจากความคิด จินตนาการของตน - อยาก - คิด - ฝัน ไม่หยุด จนกว่าจะหมดลม
----------------ขอความสงบสุขทางใจ จงมีแก่ท่านทั้งปวง-------------------
ไม่มีความเห็น