แม่ชีอินดี้ 4 : บุญของฉันมันวาไรตี้


บันทึกฉบับก่อนฉันเขียนถึงการทำบุญทำทาน เป็นเรื่องหลักเรื่องหนึ่งที่พุทธศาสนิกชนไทยให้ความสำคัญ ฉันให้ความหมาย ว่า การทำบุญทำทาน คือ การสร้างกุศล จากสุขที่เกิดจากการให้ นับเป็นจิตวิทยาสังคม และการทำสาธารณะประโยชน์ที่เกิดมาจากศรัทธาและความเชื่อ (Siriporn’s word)

ความอินดี้ของฉันกับการทำบุญทำทานนี่มันมาแนวแปลก

-ตรงไหนเหลือเฟือฟายแล้ว...จะไม่เห็นสิริพร...จึงมี Project หอบเครื่องกันหนาวไปยังวัดที่ห่างไกล

-ตรงไหนพร้อมแล้ว ...ก็จะไม่เห็นสิริพรอีกเช่นกันโดยเฉพาะสิ่งปลูกสร้าง พระใหญ่ ศาลาหลังใหม่ที่หลังเดิมก็ยังใช้งานไม่เต็มที่ กุฏิรับรอง เป็นต้น ...ของเดิมมีไว้ใช้ประโยชน์เต็มที่หรือยัง...สร้างแล้วใครกวาดใครถู...ชุมชนได้มีส่วนร่วมกับการดูแลสิ่งที่สร้างมาหรือไม่...ความอินดี้ของฉันมันมาพร้อมกับคำถามเสมอ...ดูท่าทางบุญอันน้อยนิดของฉันมันกำลังจะหายไปจากการขยันตั้งคำถามนี่แหล่ะ...บุญของฉันมันมีนัยสำคัญทางสถิติกับจริตที่ระดับ 0.05

-การทำบุญทำทาน ไม่เฉพาะเจาะจงกับวัดหรือศาสนา ฉันชอบที่จะขยายขอบเขตไปยังโรงพยาบาล และเด็กในพื้นที่ที่ห่างไกล ด้วยฐานคิดที่ว่า การทำบุญทำทาน คือ การสร้างกุศล จากสุขที่เกิดจากการให้ เค้าว่าทำบุญทำทานอย่าคิดว่าผู้รับจะเอาเงินไปไหนอย่างไร...สำหรับอิป้าถ้าได้จ่ายออกแล้ว ฉันก็จะไม่คิดว่าใครจะทำเอาไร จ่ายแล้วใจใส แต่....ก่อนที่จะจ่าย ฉันมักคิดว่ามีเงิน 100 บาท เงิน 100 บาทของฉันจะเติมเต็มจุดขาดของสังคมอย่างไร ตอบจริตฉันได้อย่างไร ตรงไหนที่คนทำมากอยู่แล้วจึงมองข้ามได้ แต่จุดที่คนส่วนใหญ่ไม่มองสิ...น่าสนใจ (ปีที่ผ่านมาฉันจึงกระโดดลงไปช่วยเหลือหมาวัดที่บาดเจ็บตัวหนึ่งที่หลายคนอาจจะบอกว่าฉันเป็นบ้า เพราะหมดเป็นหมื่นๆ แต่ไม่สามารถออกใบอนุโมทนาบัตรได้และไม่ได้รับเกียรติจากสังคม เชื่อไหม ถ้าเงินก้อนเดียวกันฉันถวายวัดฉันคงจะได้รับการขนานนามเป็นโยมอุปฐากในระดับต้นๆของวัดเลยทีเดียว*...เรื่องหมา แม้จะไม่ได้สถานะทางสังคมแต่ฉันยินดีนะ ฉันไม่ได้เป็นบ้า แค่อินดี้ อินดี้กับหมา”หล่มแปะ” เพียงแค่เหตุผลที่ว่า -ผิดที่มันไม่ตายและฉันมีสุขจากการให้...มีหลายคนบอกฉันทำบุญแบบไม่ฉลาด...ฉันรู้...แต่บางที่ฉันก็เบื่อความฉลาดของมนุษย์โลก...ทำบุญทำทานแบบซื่อๆ บื้อๆ บ้าง)

*เรื่องนี้ฉันมีคำอธิบาย..การช่วยเหลือหมาเป็นเรื่องส่วนบุคคลหรือคนกลุ่มน้อย แต่เรื่องการถวายวัดเป็นเรื่องสาธารณะของส่วนรวม...เรื่องนี้ฉันใจใสเพียงแค่ยกตัวอย่างให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น-ขออนุโมทนาทุกท่านที่ได้ช่วยเหลือหล่มแปะมา ณ ที่นี่อีกครั้งนึง)

-การทำบุญของฉันไม่เฉพาะเจาะจงกับพระผู้ใหญ่ วัดดังหรือไม่ดัง ถวายของกับใครก็ได้ มาอยู่วัดเกือบจะ 3 เดือนนี่ฉันถวายของเจ้าอาวาสไม่กี่ครั้ง แต่เบี้ยบ้ายรายทางสำหรับในการอยู่กับศาสนาและให้ศาสนาคงอยู่นี่เยอะ ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมันในการไปแจกใบฏีกา(ที่ถนนหฤโหดมาก) รับส่งพระไปไปทำกิจของสงฆ์ ค่าน้ำมันรถตัดหญ้า ค่าอาหารเพลค่า น้ำปานะเย็นๆสำหรับพระทำงานภาคสนาม สมทบแม่ครัวในการไปตลาดอันนี้ก็ไม่น้อยนะ รวมแล้วหลัก 1000 ทีเดียว ซื้อของ 7/11ให้ญาติโยมรวมทั้งถวายพระเวลาติดตามพระท่าน (ไปเป็นรถตู้) ซื้อถังรองน้ำเข้าห้องน้ำ ซื้อกาแฟแก้วละ 50 บาท 12 แก้ว ดูดิหมดเงินเท่าไหร่ เรื่องเหล่านั้นคงไม่จำเป็นที่เจ้าอาวาสจะต้องรู้...ฉันรู้ของฉันคนเดียวก็ได้ เพราะฉันทำบุญ ไม่ได้ใช้เงินสร้างฐานบุญ และความสุขของฉันคงไม่ได้อยู่ที่ใครรู้บ้างว่าฉันทำอะไรให้วัด (หุหุ ทำบุญแบบซื้อบื้ออีกแล้ว) ...ใครว่าอยู่วัดไม่ต้องใช้เงินคิดใหม่ได้นะ ดังนั้นเวลาถวายปัจจัยศาลาฉันอาจจะไม่มีเงินหมื่นถวายเหมือนคนอื่น ชื่อของฉันคงไม่ได้ประกาศออกไมค์ แต่ฉันคิดว่าซื้อบุญเกือบทุกๆวัน เช่นเดียวกับคนในชุมชนที่เสียสละแรงกายในการมาดูแลวัด ล้างถ้วยล้างจาน ทำอาหารให้วัด เมื่อเวลาที่วัดมีงาน บุญของเค้าคงไม่ต่างจากผู้บริจาคเงินแสนสร้างศาลา เพราะทำให้ศาสนาคงอยู่ได้เหมือนกัน

-ฉันเป็นคนไม่อธิษฐานบุญนักและไม่เคยหวังนิพพาน หลายคนบอกเวลาทำบุญต้องป่าวประกาศให้โลกรู้ (to announce) จะบริจาคเงินทำอะไรต้องบอกเจ้าอาวาส 555 เวลาสวดมนต์ต้องอธิษฐานบอกแก่เทวดา ฉันว่ามันไม่ใช่บุญแต่เป็นความต้องการการยอมรับนับถือ (Esteem needs) ตามทฤษฏีของมาสโลว์ (Maslow's hierarchy of needs) ถ้าทฤษฏีของ The top secret คือ เชื่อ(ศรัทธา) ขอ(อธิษฐาน-มุ่งมั่น) รับ(ผลที่เกิด)

ตอนโตขึ้นมาฉันอธิษฐานแค่ให้ฉันมีดวงตาเห็นธรรม-ฤาจะทำให้ชีวิตของฉันหลุดพ้นหลุมดำมาได้จนทุกวันนี้ พอมาปฏิบัติธรรม 3 เดือน ฉันเริ่มโลภ-อธิษฐานเพิ่มขึ้นอีก 2 ข้อ คือ 1)หากถึงเวลาสุดท้ายของชัวิตขอให้ฉันไปสบาย อย่าให้อยู่เป็นเวรเป็นกรรมกับผู้ที่ต้องดูแลเลย 2)ให้ครอบครัวของฉันมีวิถีแห่งกุศล-หากทุกคนใช้ชีวิตมีศีลธรรมอย่างที่เป็นมา ทุกคนในบ้านของฉันคงไม่มีการก้าวพลัดตกหลุมดำเป็นแน่แท้...ฉันเชื่อเช่นนั้น

นี่ตือเหตุผลที่มันทำให้ฉันไม่เคยฝันเห็นหวยเลย อิอิ

-งานบุญอะไรที่พิธีรีตองเยอะๆ มีค่าใช้จ่ายด้านค่าดอกไม้ ค่าจัดผ้า ค่าอาหารของผู้มาร่วม ค่านู้นนี่นั่น ฯลฯ และใช้เวลาในการเตรียมงานมากเกินเหตุ ไม่ตรงจริตฉัน...ความสุขที่ได้เมื่อหักกับการบริหารจัดการแล้วมันเหลือน้อย ...แต่งานบางงานไม่ผิดนะคะก็คงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของงาน จริตของฉันมันอินดี้ชอบสั้น ง่าย ได้เงินไปใช้ประโยชน์เต็มๆ มีคนชวนทำผ้าป่า...อาจจะยังไม่ถึงวัย วัยอินดี้อย่างฉันจึงบอกว่าโฮมเงินกันมาแล้วเอาไปถวายเลย...แล้วอย่ายากกินข้าววัด ถวายแล้วไปกินข้าวร้าน อย่ายาก....

-ฉันแอนตี้แนวคิดสำหรับวัดที่สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกญาติโยม หรือสร้างวัดให้เป็นที่ท่องเที่ยว ...เอาให้แต่พอดีพอสำหรับการทำศาสนกิจ ฉันคิดว่า คนมาวัดควรได้ฝึกการ “ละ...หากจะสร้าง ควรจะการสนับสนุนและส่งเสริมการสร้างปัญญา และคุณธรรม เคยคิดจะติดเครื่องทำน้ำอุ่นให้กุฏิปฏิบัติธรรม 1 หลัง..เพราะตัวเองอาบน้ำเย็นไม่เป็นและเป็นประโยชน์ต่อญาติโยมที่มาปฏิบัติ พอคิดว่า จะติดที่ไหน เท่านั้นหล่ะเลิกคิดเลย มันคงติดได้แค่กุฏิเดียว จะเกิดสิทธิพิเศษ...เหมือนกุฏิญาติโยม 30 หลังมีติดแอร์ 1 หลัง พอฤดูร้อนมาเยือน...จากการพักแบบธรรมดาก็จะเกิดเป็นสิทธิพิเศษ ความอินดี้ของฉันเริ่มทำงาน พระหลายรูปยังไม่ได้อยู่สบาย ญาติโยมขาจรจะเอาอะไรมากมาย ฉันคิดว่าถ้าโยมติดสบายก็อยู่ที่บ้าน เพราะการสวดมนต์ทำสมาธิอยู่บ้านก็สามารถทำได้ ถ้ามาทำบุญศาลาคับแคบไปหน่อยก็พอไหว บางวัดก็ตั้งหน้าตั้งตาสร้างศาลาเพื่อรองรับญาติโยม ห้องน้ำนี่สร้างซะร้านอาหารยังอาย ปีหนึ่งๆ โยมมาวัดกี่ครั้งกันเชียว บางวัดก็ให้เช่าพื้นที่จนเพลินกับการช้อปปิ้งจนลืมไปว่าจะมากราบพระ (เรายกตลาดมาไว้ที่นี่) หุหุ โยมมองหาโบสถ์เพื่อไปกราบพระไม่เจอ ....บางทีโยมนั้นแหล่ะเป็นผู้นำกิเลสไปให้พระ และการอยากขอบคุณในเมตตาจิตของโยมคุณพระเลยจัดให้...งานนี้การบริหารศรัทธาคงจะอยู่ที่ความพอดี พอวัดมุ่งเน้นแต่สิ่งปลูกสร้าง และความเป็นพุทธพาณิชย์ หากมองย้อนกลับมายังวัดแต่ละแห่ง มีพระกี่รูปที่นำปัญญา นำแสงสว่างมาสู่ญาติโยมได้ การนำปัญญานี้มันแตกต่างจากพระที่ปฏิบัติศาสนกิจได้นอกจากคำว่า "บุญตัวใหญ่ๆ" "จำนวนทุนของวัด" "วัดนี้สวย...ไปยัง" -มีไหมที่ไปแล้วน้อมเอาวิถีที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของคุณพระทั้งหลายมาใช้ในชีวิตประจำวัน กลับมาแล้วอยากทำเหมือนหลวงตาคนนั้น อยากปฏิบัติให้ได้เหมือนหลวงพี่คนนู้น เออนะ...น่าคิดไหมอ่ะ...ถ้าศาสนาพุทธเรายังไม่มีจุดจุดนี้....อิป้าว่ามันช่างน่าหวาดเสียว บางวัดอ้างอิงจำนวนพระที่จบการศึกษาในระดับสูง คงไม่ขอดูใบปริญญานะ เพราะ "กึ๋น" มันเห็นได้ชัดกว่า เรื่องนี้ไม่เฉพาะวงการพระ คนทั่วไปก็ดูกึ๋นกัน แบบว่ามันเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่มีขายตาม 7/11

คงจะสบายใจได้ถ้าหากสามารถเชื่อมั่นได้ว่า พระที่จบการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นสามารถนำปัญญา นำแสงสว่างมาสู่ญาติโยมได้ บุญของญาติโยมคงเป็นได้มากกว่าศาลา กำแพง พระใหญ่ กระเบื้อง ฯลฯ

วัดวันนี้แตกต่างจากวัดแบบเดิมๆ ไหม ฉันไม่แน่ใจ แต่บุญของคนไทย ยังเป็นบุญเหมือนวันที่ผ่านมา

-บุญหลายบุญที่ฉันได้แค่บอกผ่านด้วยเงินใส่ซองฉันหมดกระเป๋า ฉันไม่ค่อยรักษาหน้าตาของตน ไม่มีก็บอกไม่มี ฉันเชื่อว่าตั้งแต่จำความได้การทำบุญใส่ซองร่วมกับคนนั้นคนนี้ในทุกๆงาน ไม่ว่าบวชนาค กฐิน ผ้าป่า โครงการบรรพชาสามเณรฤดูร้อน งานปริวาสกรรม ไถ่ชีวิตโคกระบือ บุญสารพัดบุญ ฉันและพุทธศาสนิกทั่วประเทศคงมีโฉนดที่ดินอยู่ในแดนสวรรค์ชั้นที่ 185 แล้ว แต่หากใครมีงานบุญก็ให้บอกมา ฉันยินดีเสมอที่จะเป็นตัวกลางที่บอกต่อไปยังผู้มีจิตศรัทธาคนอื่นๆ หลายคนพร้อมทำบุญกับฉัน 2-3 วันที่บอกบุญไปนี่ได้เป็นหมื่น ฉันมักบอกเพื่อนๆว่า ให้ทำเพราะศรัทธา อย่าทำเพราะมีฉันเป็นแบรนด์ เพราะเกรงใจ ความศรัทธาของคนเรามันอาจจะแตกต่างกันก็ได้

-ฉันพยายามจะเรียนรู้การทำบุญที่ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องบริจาค หรือเว้นจากถวายวัตถุสิ่งของบ้าง หลายต่อหลายครั้งที่แอบทึ่งว่าสายวัดนี่ขยันทำโครงการกิจกรรมเนาะ ไม่ใช่ไม่ทำบุญด้วยเงินนะ ทำอยู่ตลอด บางฤดูซองบุญเต็มโต๊ะเชียว แต่พยายามจะลองดูการถวายแรง การถวายมันสมอง การถวายตัวแบบ มันอาจจะดูอินดี้และยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม ด้วยการทำกิจกรรมโครงการที่ต้องมีปัจจัยบริหาร (Man Money Material Methods) ฉันคงต้องเรียนรู้การบริหารศรัทธาของฉันอีกสักระยะหนึ่งและดูบุญที่ฉันลงกาย ลงแรงไป ว่านอกจากศาสนวัตถุแล้วฉันสามารถค้ำจุนศาสนาด้วยแรงได้หรือไม่ ฉันชอบครอบครัวหนึ่งมีความน่ารักในครอบครัวพ่อแม่-ลูก ที่ชวนกันมาช่วยหลวงพี่ล้างโบสถ์...ล้างไป มีเสียงหัวเราะไป กลับบ้านพร้อมบุญแบบเปียกๆ....ก็ขออนุโมทนาสาธุ และทำให้ฉันสงสัยว่า ครอบครัวนี้เลี้ยงลูกอย่างไรที่เด็กไม่งอแงอยากเล่นเกม และไม่หน้าบูดเมื่อถูกใช้งาน (อิอิ เผื่อมีสามีและลูกบ้าง)

เป็นงัยคะ บุญของฉันมันวาไรตี้ ว่าอาจจะเหมือนจับฉ่าย แยกไม่ออกว่ามีผักอะไรบ้าง หน้าตาสีสันอาจจะดูไม่น่ากิน เหมือนเป็ดย่าง 4 Season หรืออาหารญี่ปุ่นฟูจิ...แต่จับฉ่ายของฉันมันอร่อย หากินได้ทำง่าย และเป็นอาหารเหมือนกัน

หมายเลขบันทึก: 605195เขียนเมื่อ 21 เมษายน 2016 09:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กรกฎาคม 2016 10:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท