ผมเผลอหลับกลางวันตอนไหนไม่ทราบ มาตื่นเอาบ่ายมากแล้ว ความรู้สึกแรกคือ หิวข้าว มองหาหลวงปู่ จำได้ว่าตอนสายท่านนั่งตัวตรงอ่านหนังสือ แต่ตอนนี้หายไปแล้ว มองหารอบๆ พบแต่ความเงียบ จึงลงจากกุฏิตั้งใจจะไปศาลาวัด เพื่อหาอะไรกิน
กุฏิหลวงปู่อยู่ทางเหนือของศาลา จากกุฏิตรงไปด้านใต้จะเป็นศาลา แต่ก่อนถึงศาลามีสี่แยกเล็กๆ ซึ่งแถวนี้มีต้นไม้ใหญ่สูงท่วมหัวอยู่หนาแน่นพอควร ผมยืนกลางสี่แยกคิดได้ว่า ของกินน่าจะอยู่ที่กุฏิแม่ชี หากเลี้ยวขวาก็คงไปที่กุฏิแม่ชีได้
ขณะที่กำลังลังเลก็ได้ยินเสียงกระแอมเบาๆ มาทางด้านซ้ายมือ เสียงหลวงปู่แน่ๆ ผมเดินไปทางเสียงนั้น เพียงไม่กี่ก้าว ก็เห็นหลวงปู่เดินช้าๆ ก้มหน้า มือประสานกันที่ท้องน้อย ตอนนั้นผมไม่ทราบหรอกว่าท่านกำลังเดินจงกรม รู้ได้เพียงว่าไม่ควรรบกวนท่าน
ผมหันหลังกลับเงียบๆ พอถึงสี่แยกผมก็ตัดสินใจเดินไปทางศาลาวัด พอถึงผมเห็นหลวงพ่อนั่งอยู่บนศาลาถัดจากบันไดเล็กน้อย ท่านนั่งหันหลังให้ ความคิดที่จะไปหาของกินบนศาลาเปลี่ยนไปทันที ผมกำลังจะเดินจากไป แต่ได้ยินหลวงพ่อเอ่ยขึ้นว่า
“น้อยๆ ขึ้นมานี่” ท่านเรียกผม เพราะคำว่าน้อย เป็นคำที่ผู้ใหญ่ใช้เรียกเด็กๆ ชาวอีสาน ท่านคงได้ยินเสียงผมเดินมา ผมรีบขึ้นบนศาลาคลานเข้าไปหาท่าน
“สนเข็มให้หน่อย แก่แล้วมองไม่ค่อยเห็น” หลวงพ่อพูดยิ้มๆ
คราวนี้ผมกล้าที่จะสบตาท่าน แววตาท่านอ่อนโยน ท่านยิ้มน้อยๆ แล้วส่งด้ายให้ผม
ผมรับด้ายด้วยมือขวา แล้วมองหาเข็ม หลวงพ่อก้มมองที่พื้นเบื้องหน้าท่าน เข็มเล่มเล็กๆ นอนนิ่งบนพื้นไม้
ผมหยิบเข็ม แต่เข็มเล็กเกินไปหยิบไม่ติด จึงใช้ปลายนิ้วชี้กดลงกลางเข็มแล้วค่อยๆ ยกมือขึ้น เข็มก็ติดนิ้วมือขึ้นมา ผมสนเข็มอย่างง่ายดาย แล้วส่งให้ท่าน
หลวงพ่อรับเข็มที่สนด้ายเรียบร้อยแล้ว ด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้น ท่านชมและบอกให้ไปกินข้าว
“เก่งนี่...หิวข้าวใช่ไหม ไปกินที่กุฏิแม่ชีนะ”
ผมรีบลงบันไดแล้ววิ่งไปกุฏิแม่ชีด้วยหัวใจพองโต......
ไม่มีความเห็น