๔. ล้างบาตร


ผมกลับขึ้นศาลาวัดอีกครั้ง หลังจากลงไปล้างหน้าและทำภารกิจส่วนตัว คราวนี้บนศาลามีชายหญิงวัยกลางคน ราว ๔-๕ คน นั่งเรียบร้อยอยู่กลางศาลา ผมกำลังคิดว่าจะนั่งตรงไหนดี ก็เห็นสนกวักมือเรียก

สนนั่งใกล้ๆ แม่ชีที่นั่งอยู่ใกล้ยกพื้นสุดศาลาด้านท้ายอาสนะสงฆ์ ผมจึงเข้าไปนั่งใกล้ๆ

แม้จะมีผู้คนอยู่บนศาลามาก แต่ก็ไม่มีเสียงพูดคุยกัน ทุกคนนั่งเงียบ สักพักก็มีชาวบ้านหิ้วตะกร้าขึ้นมาบนศาลาอีก ๒-๓ คน พอขึ้นมาเรียบร้อยก็กราบ ๓ ครั้ง แล้วนำของในตะกร้าซึ่งบางคนมีหม้อ บางคนมีจาน บางคนมีถ้วยใส่อาหารตามแต่จะหาได้ นำไปวางรวมกันที่หน้าอาสนะสงฆ์ผืนแรก

ผมนึกขึ้นได้ว่า ผมขึ้นมาบนศาลายังไม่ได้กราบพระเลย จึงคุกเข่าก้มลงกราบโดยมีสายตาของสนและแม่ชีมองพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ

ขณะที่ผมกราบครั้งที่สาม เมื่อเงยหน้าขึ้นเสียงระฆังพลันดังกังวาน ผมสะดุ้งหันไปมองด้านหลัง เห็นชายชราผมขาวโพลนรูปร่างผอมเกร็งกำลังตีระฆังท่าทางทะมัดทะแมง

เสียงระฆังจางลงไม่นาน ก็เห็นหลวงพ่อขึ้นบันไดมา ตามด้วยพระภิกษุหนุ่ม หลวงปู่และสามเณร ทุกคนบนศาลาต่างยกมือขึ้นพนม ผมเองก็ทำตาม

หลังจากที่ทุกรูปประจำยังอาสนะแล้ว หลวงพ่อก็นำพระภิกษุสามเณรกราบพระสามครั้งอย่างพร้อมเพรียงและสวยงามมาก ซึ่งผมจำได้อย่างติดตา

เมื่อพระสงฆ์นั่งบนอาสนะเรียบร้อยแล้ว ส่วนสามเณรนั่งห่างออกไปตรงบาตรที่ไม่มีอาสนะนั่นเอง พ่อใหญ่ผมขาวคนตีระฆังนำกราบพระ แล้วชาวบ้านสวดมนต์ อาราธนาศีลและกล่าวถวายภัตตาหารพร้อมเพรียงกันเสียงดังกังวานเป็นสำเนียงอีสานที่ไพเราะมาก

จากนั้นต่อไปจะเป็นอย่างไรผมจำไม่ได้ (ขอข้ามไปโดยจะเล่าถึงขั้นตอนนี้ในตอนที่ผมบวช)

ผมจำได้ก็ตอนที่ผมอิ่มแล้ว รู้สึกได้ว่าหลวงปู่กำลังจ้องมองมาที่ผม ทำให้ผมรีบหันไปมอง ใช่จริงๆ ท่านพยักหน้าให้ผมเข้าไปหา ผมเดินค้อมตัวผ่านคุณตาคุณยาย ลุงป้าน้าอา ที่ทานข้าวอิ่มแล้ว กำลังเก็บสิ่งของ พอไปถึงหลวงปู่บอกให้ผมกราบหลวงพ่อ แล้วหลวงปู่ท่านก็พนมมือแนะนำผมให้หลวงพ่อทราบ

ผมก้มหน้าไม่กล้าสบตาหลวงพ่อ ได้ยินเพียงเสียงนุ่มๆ เบาๆ ที่ผมจำไม่ได้แล้วว่าท่านพูดอย่างไร

ผมสะพายบาตรลงบันได เดินตามหลวงพ่อ ท่านพาไปด้านหลังศาลามีทางแคบๆ พอเดินสวนกันได้ ห่างจากศาลาราว ๒๐๐ เมตร มีกุฏิกำลังก่อสร้างบนลานดินที่กว้าง ๔๐ ตารางวา เป็นกุฏิไม้ สูงจากพื้นหนึ่งเมตรเห็นจะได้ หลังคาสังกะสี พื้นไม้แต่ยังไม่มีฝา หลวงปู่ขึ้นบันไดแล้วเปลื้องจีวรพาดตากบนราวเชือกที่ขึงระหว่างเสา ทำเป็นฝากันแดดได้อย่างดี

“เอาบาตรไปเทตรงนู้น แล้วล้างให้สะอาดนะ”

ท่านชี้มือไปด้านข้างทิศตะวันตกของกุฏิ ตอนนั้นผมเห็นเพียงป่าหญ้าคา แต่พอเดินไปใกล้ๆ ก็เห็นทางแคบๆ ที่ใบหญ้าคาคลุมเกือบมิด ห่างไปราว ๕ เมตร เห็นหลุมตื้นๆ ไม่ใหญ่นัก เป็นที่ทิ้งขยะนั่นเอง

ผมเทเศษอาหารในบาตรลงหลุมนั้น พลันได้ยินเสียงสัตว์ชนิดหนึ่งดังขึ้น

“จี๊ดๆๆๆๆ”

ผมนึกว่าหนู มองหาแต่ไม่ใช่เป็นกระแต ๔-๕ ตัว ยืนแอบอยู่ข้างกอหญ้าคา ตรงขอบหลุมฝั่งตรงข้าม

ผมเดินกลับแต่แอบชำเลืองดู เห็นกระแตทั้งหลายวิ่งมากินเศษอาหารทันที พร้อมกับส่งเสียง “จี๊ดๆๆๆ” มันคงดีใจและขอบคุณผมกระมัง

พอถึงกุฏิผมถอดถลกบาตรเอาไปผึ่งแดดก่อน จากนั้นก็ล้างที่ตุ่มน้ำหน้าบันได จนเกลี้ยงเกลาดี กำลังจะขึ้นกุฏิเพื่อหาที่วางบาตร ก็ได้ยินเสียงหลวงปู่พูดขึ้นว่า

“ดมดูซิ คาวไหม”

มีกลิ่นคาวครับ ผมต้องไปล้างใหม่ คราวนี้หลวงปู่บอกให้ใช้ใบหญ้าคาหลายๆ ใบ ขยำๆ ขัดข้างในบาตร ผมทำตามแล้วกลิ่นคาวก็หายไป

จากนั้นก็นำบาตรมาผึ่งแดด ท่านบอกให้วางบนขาตั้งบาตร วางบาตรให้เอียงรับกับแดดที่ส่องมาให้ได้มากที่สุด พอบาตรแห้งสนิทก็ให้ใส่ถลกบาตร ตอนถอดไม่ยากแต่ตอนใส่ยากมาก กว่าผมจะใส่ถลกบาตรเรียบร้อยก็เล่นเอาเหงื่อซึม......

(ขอบคุณภาพจาก google)

คำสำคัญ (Tags): #บาตร#ล้าง#กระแต
หมายเลขบันทึก: 603371เขียนเมื่อ 13 มีนาคม 2016 12:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 พฤษภาคม 2017 23:32 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท