ที่มาของรูป: http://lakeorioncc.com/adhd/
"โรคสมาธิสั้น" เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง ส่งผลให้เกิดปัญหาพฤติกรรม โดยมีอาการหลักอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ อาการขาดสมาธิ, อาการซน และอาการหุนหันพลันแล่น ซึ่งจะต้องแสดงอาการมากกว่า 2 สถานที่ และพบมากในเด็กวัยเรียน
อาการ
สาเหตุ
ตาม "เกณฑ์การวินิจฉัย DSM 5" โรคสมาธิสั้นจะต้องแสดงอาการข้างต้น ก่อนอายุ 12 ปี และต้องแสดงอาการดังกล่าวนานกว่า 6 เดือน โดยต้องมีอาการ 6 ใน 9 ข้อ แต่สำหรับวัยรุ่นและผู้ใหญ่ (อายุมากกว่าหรือเท่ากับ 17 ปี) ให้แสดงอาการ 5 ใน 9 ข้อก็เพียงพอ เพราะเมื่อโตขึ้น ทำให้มีวุฒิภาวะมากขึ้น จึงสามารถควบคุมตนเองได้บ้างในบางอาการ เช่น อาการซนอยู่ไม่นิ่ง เป็นต้น
ส่วนหนึ่งของเกณฑ์การวินิจฉัย (ขอขอบคุณเจ้าของภาพ)
เด็กสมาธิสั้นมักพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง และโรคที่เป็นร่วมกับโรคสมาธิสั้นมากที่สุด คือ "โรคดื้อและต่อต้าน (Oppositional Defiant Disorder)"
พยากรณ์โรคสมาธิสั้น
30% ของเด็กสมาธิสั้น เมื่อโตขึ้นอาการจะหายไป
40% จะยังคงมีอาการอยู่ แต่ไม่รบกวนการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตมากนัก
แต่อีก 30% พบว่าอาการไม่ดีขึ้น ส่งผลให้ ไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน ขาดแรงจูงใจ ขาดความยับยั้งชั่งใจ ทำให้ติดยาเสพติดได้ มีบุคลิกภาพแบบ Antisocial และมีโอกาสกระทำความผิดทางกฎหมายได้
เด็กสมาธิสั้น มักพบในวัยเรียน จึงทำให้มีความยากลำบากในการทำกิจกรรมดำเนินชีวิตต่างๆ โดยเฉพาะใน "กิจกรรมการเรียน" เช่น อยู่ไม่นิ่ง ไม่สนใจ ทำงานในห้องเรียนไม่ได้ เป็นต้น, "การเข้าสังคม" เช่น การเล่นแรงๆ แกล้งเพื่อนมากๆ เป็นต้น และ "การเล่นหรือกิจกรรมยามว่าง" เช่น การเล่นกับเพื่อน เป็นต้น
ที่มาของรูป: http://yaletownnaturopathic.com/a-naturopathic-app...
จากที่ข้างต้น โรคสมาธิสั้นส่งผลกระทบมากมายต่อเด็ก และมีโอกาสที่จะส่งผลต่อสังคมได้ ดังนั้นเราจึงควรให้เด็กได้รับการบำบัดรักษาให้เร็วที่สุด (Early intervention) โดยหนึ่งในกระบวนการบำบัดรักษาเด็กสมาธิสั้นนั้น ก็คือ “กิจกรรมบำบัด” ซึ่งมีกระบวนการบำบัดรักษาทางกิจกรรมบำบัด ดังนี้
การประเมินทางกิจกรรมบำบัด ตามแบบจำลองทางกิจกรรมบำบัด PEOP model ดังนี้
P: Person (บุคคล) |
E: Environment (สิ่งแวดล้อม) |
O: Occupation (กิจกรรม) |
P: Performance |
- สัมภาษณ์ผู้รับบริการเกี่ยวกับชีวิตประจำวันทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนและความต้องการ - สัมภาษณ์ความสนใจ โดยใช้ Interest checklist และแรงจูงใจ - สังเกตพฤติกรรมขณะทำกิจกรรม - ทดสอบการบูรณาการประสาทความรู้สึก โดยใช้ Sensory profile เนื่องจากโรคสมาธิสั้นมักมีปัญหาการบูรณาการประสาทความรู้สึกร่วมด้วย |
- สิ่งแวดล้อมที่บ้านและโรงเรียนที่ส่งผลต่อเด็ก เช่น ตำแหน่งที่นั่งในห้องเรียน เป็นต้น - สัมภาษณ์ผู้ปกครองและคุณครู เกี่ยวกับทัศนคติต่อโรคและเด็ก รวมถึงพฤติกรรมของเด็ก |
- กิจกรรมการเรียนในโรงเรียน - การมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมโรงเรียน |
- ความสามารถในการเรียน - ความสามารถในการมีส่วนร่วมในโรงเรียน โดยใช้ แบบประเมิน SFA |
P + E + O + P = Well-being (สุขภาวะ) -สัมภาษณ์ความพึงพอใจในการดำเนินชีวิต -แบบประเมิน FACIT-Sp, แบบประเมินการฟื้นคืนสุขภาวะ |
การวิเคราะห์ปัญหาเด็กสมาธิสั้น ดังนี้
P: Person (บุคคล) |
E: Environment (สิ่งแวดล้อม) |
O: Occupation (กิจกรรม) |
P: Performance |
- มีอาการขาดสมาธิ, ซน, หุนหันพลันแล่น - การควบคุมตนเอง (Self-regulation) - ขาดแรงจูงใจ (วัยรุ่น) |
- สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ โรงเรียนและบ้าน - สิ่งแวดล้อมทางสังคม ได้แก่ ครอบครัว, คุณครู และเพื่อน |
- การเรียน - การเข้าสังคม - การเล่น/ กิจกรรมยามว่าง |
- ไม่สามารเรียนในห้องเรียนได้เหมือนกับเด็กในวัยเดียวกัน - มีความยากลำบากในการเข้าสังคม |
P + E = Motivation (แรงจูงใจ) สามารถส่งแรงจูงใจได้ โดยการปรับที่ตัวบุคคลและสิ่งแวดล้อม -ปรับสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับเด็กครอบครัวและโรงเรียนให้ความร่วมมือ -ฝึกการควบคุมตนเอง โดยการปรับพฤติกรรม |
|||
P + E + O = Abilities (ความสามารถ) สามารถเพิ่มความสามารถได้ โดยการปรับที่ตัวบุคคลและสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม รวมทั้งการปรับกิจกรรมการเรียนและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมโรงเรียน ให้สอดคล้องกับความสามารถ |
การบำบัดรักษาทางกิจกรรมบำบัด
Therapeutic Relationship to recovery |
Therapeutic Environment to empowerment |
Therapeutic Use of self to empathy |
Therapeutic Skill to active learning |
การสร้างสัมพันธภาพกับผู้รับบริการเด็ก ในการพูดคุยให้ไว้ใจ และร่วมมือในการทำกิจกรรมการบำบัดรักษา |
- พูดคุย ให้ความรู้กับครอบครัว คุณครู เพื่อให้มีทัศนคติที่ดีต่อเด็กและโรคที่เด็กเป็น เพื่อให้ช่วยเหลือเด็กร่วมกันอย่างเต็มที่ - จัดที่นั่งในห้องเรียน ให้เด็กนั่งตรงกลางห้อง เพื่อลดสิ่งเร้าทางสายตาจากหน้าต่างหรือประตู - ให้นั่งข้างเพื่อนที่เรียบร้อย ไม่คยในห้องเรียน - จัดหา Buddy ให้กับเด็ก เพื่อเป็นต้นแบบให้เด็กในการเข้าสังคม (Peer role model) - ลดสิ่งเร้าที่บ้าน, ครอบครัวช่วยกระตุ้นให้เด็กสนใจ |
- ใช้ตนเองเป็นสื่อ ในการพูดคุยและบำบัดรักษา - เข้าใจและเห็นใจในตัวเด็กและโรคของเด็ก และบำบัดรักษาเด็กอย่างเต็มความสามารถ |
- วิเคราะห์กิจกรรมการเรียน (Activity analysis) พิจรณาในการปรับความยากง่ายของกิจกรรมหรือวิธีการเรียนการสอน เพื่อจัดทำ IEP (Individual educational program)แผนการเรียนการสอนสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ซึ่งทำร่วมกับครอบครัว คุณครู และวิชาชีพอื่นๆ เช่น การสั่งงาน ให้สั่งช้าๆ ชัดๆ ทีละอย่าง/ ขั้นตอน เป็นต้น - ปรับพฤติกรรม โดยการให้คำชมเด็กทันที เมื่อเด็กสามารถทำกิจกรรมได้สำเร็จ หากเด็กแสดงพฤติกรรมที่ไม่หมาะสม ให้พูดคุยอย่างเข้าใจ ไม่ต่อว่าเด็ก -เด็กที่ชอบเล่นแรงๆ ให้ครอบครัวชวนเด็กทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น การทำงานบ้าน เป็นต้น เพื่อให้เด็กออกแรงไปกับกิจกิจกรรมที่มีเป้าหมายแทน - แนะนำครอบครัว ให้สนับสนุนเด็กในการทำกิจกรรมที่สนใจ เพื่อเพิ่มความมั่นใจและแรงจูงใจแก่ตัวเด็ก - การจัดกลุ่มกิจกรรมตามระดับความรู้ความเข้าใจ 4-5 โดยทำกิจกรรมกลุ่มระดับ “อารมณ์ร่วมใจ (Cooperative group)” เพื่อให้เด็กได้มการทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ฝึกการแสดงความคิด ช่วเหลือเพื่อน ถือเป็นการส่งเสริมทักษะทางสังคม |
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ถ้าหากเด็กสมาธิสั้นได้รับการบำบัดรักษาที่เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก ก็จะส่งผลให้เด็กมีความมั่นใจ มีแรงจูงใจ และมีความสามารถทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตต่างๆได้ นอกจากนี้ยังส่งผลให้เด็กมีความสุข ความพึงพอใจในชีวิต และสามารถฟื้นคืนสุขภาวะในสังคมได้
ที่มาของรูปภาพ: http://www.huffingtonpost.co.uk/2015/05/19/happies...
ขอขอบคุณ
-นันทวัช สิทธิรักษ์. จิตเวช ศิริราช DSM-5. กรุงเทพฯ: ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์; 2558.
-วรรณภร สมุทรอัษฎงค์. โรคดื้อ (Oppositional Defiant Disorder) [เอกสารอิเล็กทรอนิกส์]. 2557 [เข้าถึงเมื่อ 6 มีนาคม 2559]. เข้าถึงได้จาก http://taamkru.com/th/โรคดื้อ/
-สันต์ ใจยอดศิลป์,นพ. โรคสมาธิสั้น (Attention deficit hyperactive disorder – ADHD) [เอกสารอิเล็กทรอนิกส์]. 2558 [เข้าถึงเมื่อ 12 มีนาคม 2559]. เข้าถึงได้จาก http://phyathaihospital.com/home/health-expert/252...
ไม่มีความเห็น