จากน้ำท่วมถึงไฟไหม้


น้ำท่วมปี ๒๕๕๔ พี่วิเชียร พนักงานมหาวิทยาลัย ในตำแหน่ง อาจารย์สอนดนตรีสากล ต้องล่องน้ำไปๆมาๆระหว่างสถาบันการศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดปทุมธานีติดเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กับบ้านของตนที่อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผมยังจำภาพพี่วิเชียรมาทำงานทั้งที่กางเกงเปียกชื้น เพราะลุยน้ำมาจากบ้าน เคยถามพี่วิเชียรว่า ทำไม?พี่ไม่ลาหยุด เพื่อดูแลบ้านที่ค่อนข้างเสี่ยงกับน้ำที่ค่อยๆท่วมสูงขึ้น พี่วิเชียรตอบว่า "เป็นหน้าที่ที่เราทิ้งไม่ได้ เพราะเราเพียงคนเดียวที่หยุด สร้างความเสียหายให้กับนักศึกษาอีกหลายคน...โดยเฉพาะเด็กที่ยังติดค้างการเรียนอยู่" พี่วิเชียรต้องทำหน้าที่กลับไปขนของที่บ้านเพื่อหนีน้ำท่วม ขณะเดียวกันก็ต้องมาทำงานเพื่อหน้าที่ที่ละทิ้งไม่ได้ จนวันหนึ่งน้ำท่วมสูงขึ้น พี่วิเชียรไม่สามารถเดินทางมาทำงานได้ ขณะที่สถาบันการศึกษาก็ถูกน้ำท่วมสูงพอดี

หลายคราวที่สถาบันการศึกษาจัดประชุมต่างจังหวัด พี่วิเชียรต้องจัดการตารางชีวิตบางอย่างให้ลงตัว เพื่อเข้าประชุม โดยเฉพาะที่พี่วิเชียรกล่าวถึงบ่อยคือ การที่สถาบันการศึกษาจัดให้เข้าอบรมปฏิบัติธรรม โดยห้ามออกจากพื้นที่ สร้างความรู้สึกบางอย่างให้พี่วิเชียร แต่พี่วิเชียรก็สามารถผ่านกิจกรรมดังกล่าวมาได้ ผมได้แต่รับฟัง แต่ก็ไม่ถามสาเหตุเพราะเกรงว่าจะเข้าไปรับรู้ชีวิตส่วนตัว ผมได้แต่มองพี่วิเชียรว่า เป็นคนขยัน ขณะที่พี่วิเชียรมักกังวล ด้วยเกรงว่าเพื่อนจะว่าเป็นคนไม่เข้าสังคมกับเพื่อนๆ

ผ่านภัยน้ำท่วม (อุทกภัย) มาไม่นาน ภัยดังกล่าวสร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินบ้านพี่วิเชียรไม่น้อย ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ไฟไหม้ตลาดบางปะอิน ผมไม่ได้ติดตามข่าว แต่ได้รู้จากเพื่อนทางไลน์ แจ้งให้ทราบว่าบ้านพี่วิเชียรไฟไหม้ การรับรู้ยังไม่เห็นสภาพความเป็นจริง ก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก ผมนัดแนะกับเพื่อนอีก ๒ คนเพื่อไปเยี่ยมพี่วิเชียร โดยสอบถามเส้นทางจากรองคณบดีฝ่ายวิชาการ เมื่อได้วันที่ว่างตรงกัน จึงเตรียมของไปเยี่ยมพี่วิเชียร ก่อนจะออกรถ พบคณบดี ท่านไม่รอช้าที่จะบอกเส้นทางให้ พร้อมกับให้บอกพี่วิเชียรด้วย ประมาณ ๑๑.๐๐ น. คณบดีจะไปเยี่ยม (ซึ่งก่อนนั้นก็ไปครั้งหนึ่งแล้ว)

การเดินทางไปบ้านพี่วิเชียรนั้นไม่ยาก แต่การหาตัวพี่วิเชียรและครอบครัวนั้นลำบากนิดหนึ่ง โชคดีที่ชาวบ้านแถวนั้นรู้จักพี่วิเชียร ขณะเดียวกันภรรยาของพี่วิเชียรก็เดินออกมาพอดี เราเดินไปทางเข้าบ้านที่ถูกไฟไหม้ เป็นห้องแถวเก่าๆ ห้องแถวนี้เองเป็นที่พักของพี่วิเชียรและครอบครัวหลังไฟไหม้บ้าน คุยกับภรรยาของพี่วิเชียรไม่นาน มีรถตู้ขับมาจอดปากทาง พี่วิเชียรเดินมา เสื้อผ้าที่ใส่ยังเป็นชุดคนไข้ของโรงพยาบาล ใบหน้าของพี่วิเชียรยังมีอาการบวม ต้นคอมีรอยผิวหนังไหม้ ถลอก เพราะแรงไฟ ผมทักทายประสาพี่ที่น่านับถือและเพื่อนที่่ร่วมทำงานกันมา แต่ก็ไม่ได้ถามอื่นใด เพราะเกรงว่า หากถามเรื่องไฟไหม้ ก็จะเป็นการตอกย้ำ ผมเห็นหน้าตาพี่วิเชียรแล้ว สลดใจ พี่วิเชียรบอกว่า เดิมทีบวมมากกว่านี้เยอะมาก โชคดีที่มีคนรู้จักเอาบัวหิมะมาให้ทา เราเดินไปที่เกิดเหตุ เป็นร่องรอยหลังไฟไหม้ ภาพที่พบสร้างความสลดใจมากมาย จึงได้แต่ถอนหายใจ (แม้แต่เหล็กยาวขนาดใหญ่ยังบิดงอ)

พี่วิเชียรเล่าให้ฟังว่า พ่อเป็นช่าง พ่อมีเครื่องมือจำนวนมาก เครื่องมือดังกล่าวราคาไม่น้อย ซึ่งพ่อสะสมมานาน พ่อรักเครื่องมือเหล่านี้มาก ขณะที่ไฟกำลังไหม้ พ่อทำงานอยู่บนเรือนซีกหนึ่ง ส่วนแม่ซึ่งอายุมากแล้ว เดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็ญ ช่วยตัวเองไม่ได้ มาเป็น ๑๐ ปีแล้ว อยู่บนเรือนเช่นกัน พี่วิเชียรนั่งกินข้าวอยู่ ได้ยินเสียงเปรี๊ยะๆ จึงวิ่งไปดู พบว่าไฟกำลังโหม เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อไฟโหม ก็จะมีลมมาช่วยให้ไฟยิ่งโหมแรงขึ้น ด้วยความตกใจ รีบผ่ากองเพลิงเข้าไปอุ้มแม่ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ออกมาข้างนอกให้ไกลจากไฟ (ตามข่าวบอกว่าอุ้มพ่อ/ข่าวคลาดเคลื่อน) จากนั้นรีบวิ่งไปดึงพ่อ ซึ่งแม้ท่านจะเดินได้ปกติ แต่ด้วยความเป็นห่วงเครื่องมือต่างๆ ที่พ่อสร้างมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย พ่อพยายามจะขนของเหล่านั้นออกมา พี่วิเชียรรีบไปดึงพ่อออกมาจากกองเพลิง ได้แต่บอกพ่อว่า "ทิ้งไป ทิ้งไป เอาชีวิตก่อน" จากนั้นตนเองรีบไปขนสิ่งอื่นๆที่พอจะขนได้ แต่ดูเหมือนทุกอย่างหมดไปกับกองเพลิง แม้แต่พระเก่าๆที่พี่วิเชียรสะสมมาเป็นเวลานาน และมีความเคารพต่อพระอย่างยิ่ง พี่วิเชียรเปรยขึ้นว่า "ไม่รู้ทำเวรกรรมอะไร เท่าที่จำความได้ บาปกรรมก็ไม่ได้สร้าง แต่ทำไมจึงเกิดเหตุแบบนี้กับตน ก่อนนั้นน้ำท่วม มารอบนี้ไฟไหม้"..."อาจารย์รู้ไหม คำว่าทุกข์ใจถึงกับร้องไห้ไม่ออกเป็นอย่างไร ผมเจอแล้ว ร้องไม่มีน้ำตาและร้องไม่ออก" ผมคงได้แต่รับฟังข้อความเท่าที่พี่วิเชียรจะเปรยออกมา เพราะเรื่องแบบนี้ไม่เจอกับตัวคงไม่รู้ "พ่อยังอยู่โรงพยาบาล คาดว่าน่าจะเป็นเดือน ส่วนผมนั้นอยู่โรงพยาบาลไม่ได้ ผมต้องหนีออกมาเพื่อมาดูของที่เหลืออยู่ เกรงว่าจะมีใครมาลักขโมย แล้วก็กลับไปโรงพยาบาลอีก" ... "นี่ผมรับงานที่มหาวิทยาลัยไว้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี อีกสองสามวันก็ถึงวันงาน...แล้ว จะไปสานงานที่มหาวิทยาลัย แต่ก็กังวลทางบ้าน ฯลฯ" ดูเหมือนพี่วิเชียรจะมีแต่กังวลหลายเรื่อง ทั้งที่ร่างกายของตนก็ยังไม่ปกติ โดยเฉพาะจิตใจ

มีอยู่เรื่องหนึ่ง พี่วิเชียรเฉลยให้ฟังรอบนี้ พี่วิเชียรดูแลแม่มาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว การไปทำงานในสถาบันการศึกษาด้วยหวังเล็กๆว่า อาจเบิกค่ารักษาพยาบาลให้แม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ ถึงอย่างนั้นก็ไม้ละทิ้งแม่ ส่วนพ่อนั้น ก่อนไฟไหม้ท่านก็ยังแข็งแรง เดินได้ปกติ พี่วิเชียรต้องทำงานเท่าที่จะทำได้ ทั้งสอนส่วนตัวในวันเสาร์อาทิตย์ หลังเลิกงานประจำ และรับงานอื่นๆ โดยที่งานเหล่านั้นจะต้องไม่กระทบการงานปกติ เพราะเหตุที่ต้องดูแลครอบครัว โดยเฉพาะแม่ (แม่ช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องอุ้มขึ้นรถเข็ญ) และลูกสาวอีกสองคนที่ยังอยู่ในวัยเรียน (ลูกสาวแม้จะอยู่ในวัยเรียน แต่เธอทั้งสองได้รับการสั่งสอนจากพี่วิเชียรมาเป็นอย่างดี เกี่ยวกับการเล่นดนตรี จึงเป็นลูกมือในการสอนดนตรีได้ เขาสามารถหารายได้ได้ด้วยตนเอง ทั้งที่อยู่ในวัยมัธยม) พี่วิเชียรจึงไม่มีเวลาสำหรับเพื่อนร่วมงานนัก และลำบากมากเมื่อสถาบันการศึกษาจัดประชุมต่างจังหวัดโดยเฉพาะการไปอยู่ในพื้นที่นั้นโดยห้ามออกจากพื้นที่นั้น มิฉะนั้นจะไม่ต่อสัญญาให้ แต่พี่วิเชียรก็พยายามทำทุกอย่างไม่ให้บกพร่อง ไม่ขัดขืนต่อการบริหาร นิ่งๆ ตั้งตาทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด โดยไม่ให้งานใดๆบกพร่อง ทั้งงานออกปากและงานในความรับผิดชอบ

ผมได้แต่ฟัง ฟัง และฟัง เพราะไม่รู้จะถามอะไร แค่เห็นก็พูดไม่ออกแล้ว ยืนคุยกันพักใหญ่ แม่ถามพี่วิเชียรว่า กินข้าวหรือยัง พี่วิเชียรบอกว่ายังไม่ได้กิน เมื่อได้ทราบอย่างนั้น เราสามคนที่มาพร้อมกันจึงบอกให้พี่วิเชียรไปกินข้าวเถอะ ส่วนพวกเราขอตัวกลับก่อน พร้อมกับบอกพี่วิเชียรว่า "เริ่มต้นใหม่ครับพี่"

ชีวิตคนเรานั้น แต่ละคนพบเจอบททดสอบไม่เหมือนกัน ระหว่างเดินทางกลับ เราได้แต่คุยกันในรถ "ถ้าเป็นเราจะทำอย่างไร"..." เรื่องอย่างนี้ไม่เจอกับตัว คงไม่ทราบกันได้"..."เคราะห์ซ้ำกรรมซ้อน โดนน้ำท่วมมาก็หนักพอแล้ว มาเจอไฟไหม้อีก"..."เห้อ..ชีวิต"

ชีวิตยังต้องเดินต่อไป ที่ผ่านมา พี่วิเชียรไม่ได้ประมาทในการใช้ชีวิต เป็นนักดนตรีที่ไม่ธรรมดา ลูกสาวสองคนเป็นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบงานได้เกินวัยกว่าเด็กทั่วไป ภรรยาที่เป็นคนขยัน เพราะความไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ครอบครัวของพี่วิเชียรยังมีห้องแถวเก่าๆ ต้นทุนชีวิตที่ยังเหลือนี้ จะเป็นกำลังสำคัญสำหรับชีวิตที่จะต้องเดินต่อไป

หมายเลขบันทึก: 601320เขียนเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2016 20:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 กุมภาพันธ์ 2016 11:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

เป็นกำลังใจให้พี่วิเชียรด้วยนะคะ คนดี ความดีน่าจะคุ้มครองในที่สุดนะคะ

Once again it seems when we fall we often get hurt in several places at once. But we can't lie hurt and say 'blames' on the world or stars. We have to (as you said) get up and go again. A new start and new goal will let us live again as if we are born again

Best wishes.

  • ข้อความของพี่โอ๋ "คนดี ความดีน่าจะคุ้มครองในที่สุด" ทำให้ความคิดว่า "คนดี ต้องคุ้มครองความดี" ผุดขึ้นมาในความคิดเลยครับ
  • ประสบการณ์ทำให้แข็งแกร่งใช่ไหมครับ ท่าน "sr"
  • ขอบคุณมากมายครับผม :-)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท