ระหว่างเดินออกอกคลังเช้านี้ ได้ยินเสียงไก่ขันชัดเจนมาก เข้าใจว่าเป็นเสียงจากวิทยุที่จากรถขนส่งหรือเสียงโทรศัพท์ แต่เมื่อตั้งใจฟังแล้ว เป็นเสียงไก่ชัดๆจริงๆเลย แต่ว่าแต่ว่าเสียงมาจากไหน
มองออกไปข้างนอกข้ามกำแพงออกไปเห็นยอดมะพร้าว เห็นต้นมะม่วงเขียวครึ้มเป็นทิวอยู่หย่อมหนึ่ง จ้องมองชัดๆอีกครั้งจะเห็นบ้านซ่อนอยู่ใต้ร่มไม้นั้นอยู่หลายหลัง เข้าใจว่าใต้ลงไปในพื้นอันน่าจะร่มรื่นนั้น คงมีไก่เป็นฝูง มีสัตว์เลี้ยงอื่นๆ มีน้องหมา และที่สำคัญมีไก่ตัวผู้ที่ขันอยู่ในขณะนั้นแน่ๆ
เห็นต้นมะม่วงเขียวครึ้มทิวนั้นให้แุกคิดว่า รายล้อมของโรงงานอุตสาหกรรมมากมายยังมีสีเขียมหลงแต้มแต่งอยู่ แม้จะน้อยนิดแต่ก็ให้เสียงธรรมชาติเล็ดลอดออกมาอวด ท้าทายอาคารเทาทึบเป็นแท่งๆที่ล้อมอยู่ทุกด้าน
ช่างหาญกล้าแท้เทียว...
แต่ความเป็นจริงน่าจะเป็นบ้านของคนพื้นเพ เจ้าของพื้นที่ที่ถูกรุกคืบ รายล้อมด้วยแวดวงอุตสาหกรรม พวกเขาไม่ขาย ไม่หนี แต่ซุกตัวอยู่ท่ามกลางโรงงาน
อยู่อย่างคนเคยอยู่ หาญกล้าไม่เจียมตน
แต่ทนปรับตัวปรับใจ กับสิ่งใหม่ๆที่ล้อมโถมบดบัง.....
และหากจะช่องทางเข้าออกบ้านสวนมะม่วงเล็กๆแห่งนี้แทบจะปิดตาย จะมีเพียงด้านหลังที่ติดคลองเท่านั้นที่น่าจะเป็นทางสัญจรได้ หรือเจ้าของบ้านนั้นจะเข้าออกทางคลอง ก็คงเป็นไปได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากพิสูจนื อยากเห็นความเป็นอยู่ของพวกเขา อยู่กันอย่างไรท่ามกลางการรายล้อมด้วยดงโรงงาน
แต่เชื่อว่าพวกเขาคงอยู่ด้วยความสุขทีเดียวแหล่ะ
จากเสียงไก่ไอ้โต้งที่ดังเล็ดลอดออกมา...
อบากรู้อยากเห็น..ด้วยคน..เจ้าค่ะ...
เชื่อว่าพวกเขาคงอยู่ด้วยความสุข....ความสุข...เป็นสิ่งงดงามมากๆ ค่ะ .... ขอบคุณค่ะ
ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน
ขอให้พรจงย้อนกลับ เช่นกันครับ
สวัสดีปีใหม่ 2559 ครับ
ทางถูกปิด
ยังมาทางน้ำได้นะครับ
ทึ่งมากๆ
ขอบคุณ อ.ขจิต คุณมะเดื่อ
ชีวิตคนพื้นที่ที่ถูกอุตสาหกรรมรุกล้อม น่าศึกษามากครับ