เที่ยว วอชิงตัน ดีซี คราวนี้ไม่มีเที่ยวอย่างอื่น นอกจากพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนี่ยน กับสวนพฤกษศาสตร์ ผมเที่ยวแบบออมกำลัง เพราะคนแก่ กำลังน้อย เดินไม่ทนเหมือนแต่ก่อน ใช้วิธีถ่ายรูปมาดูที่โรงแรม และบนเครื่องบิน ที่ไหนมีแผ่นพับก็หยิบมาดู และเก็บมาดูรายละเอียดทีหลัง
มีข้อสังเกตว่า พ่อแม่ชอบพาลูกมาเที่ยว บางคนก็ตั้งคำถามให้ลูกคิด น่าจะเป็น “การศึกษา” สำคัญ ที่พ่อแม่ให้แก่ลูก ผมเก็บเอกสาร Discovery Theater มาอ่านบนเครื่องบิน ยิ่งเห็นว่าพิพิธภัณฑ์เหล่านี้หารายได้จากหลายทาง ทางจัดกิจกรรมให้เด็กๆ เรียนรู้อย่างสนุกสนานน่าจะเป็นช่องทางหนึ่ง
ร้านอาหารน่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่ง ราคาอาหารในร้านของพิพิธภัณฑ์แพงกว่าสองเท่าของร้านข้างนอก
การชักชวนให้เป็น Partner เป็นอีกช่องทางหนึ่ง National Museum of African Art มีแผ่นพับชักชวนให้เป็นสมาชิก โดยบริจาคปีละ $75, 150, 250, 500, 750 ก็ได้ ผู้บริจาค $500 ขึ้นไป ได้รับโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมเป็นพิเศษ เขาเอาเงินไปใช้ ๔ ทางคือ สนับสนุนการสร้างศิลปิน ใช้ปรับปรุงอาคารสถานที่ ใช้ในกิจกรรมอนุรักษ์รวมทั้งซื้อชิ้นงานศิลปะ ใช้จัดโปรแกรมหรืออีเว้นท์ต่างๆ ผมมาคิดได้ทีหลังว่า ถ้าผมเป็นคนอเมริกัน ผมจะสมัครเป็นสมาชิกประเภทบริจาค ๕๐๐ เหรียญขึ้นไป เพื่อเป็นช่องทางให้ลูกๆ ได้เข้าร่วมกิจกรรม
คนพาครอบครัวไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และสวนพฤกษศาสตร์มากจริงๆ ทำให้คิดว่าวิธีพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดแบบนี้ น่าจะเป็นผลดีต่อบ้านเมืองในระยะยาว ดีกว่าการไปเดินห้างอย่างในบ้านเรา ข้อเสียเปรียบในบ้านเราคืออากาศร้อน ไปเดินในที่โล่งเดี๋ยวเดียวเหงื่อแตก แต่เดินห้างอากาศเย็นสบาย แต่ก็โดนกล่อมใจให้คุ้นกับความอยากได้ของสวยงามราคาแพงโดยไม่จำเป็น
ผมตีความว่า สถานที่เหล่านี้เป็น “สถานศึกษา” ประเภทหนึ่ง เป็นสถานศึกษา “ตามอัธยาศัย” ที่รัฐจัดให้แก่พลเมือง มองในมุมหนึ่ง เป็นคล้ายๆ edutainment เว็บไซต์ของสถานที่เหล่านี้จึงลงท้ายด้วย .edu บ่งบอกความเป็น “สถานศึกษา”
ผมตีความว่า สถาบันเหล่านี้ ทำหน้าที่ “ปรุงความรู้” ที่มีกระจัดกระจายอยู่ในสังคม เป็นการจัดแสดง อาศัยการมีชิ้นงานศิลปะ ชิ้นงานศิลปะ หรือชิ้นต้นไม้/ดอกไม้ เอามาผูกกันเข้าเป็นเรื่องราวที่มีความหมาย เรียกว่าทำ Knowledge Translation ให้คนมาเรียนรู้ตีความต่อ ในนามของการพักผ่อนหย่อนใจ ผมอยากเห็นคนไทยพักผ่อนหย่อนใจแบบเรียนรู้และสร้างสรรค์ สร้างนิสัยรักธรรมชาติ รักศิลปะ รักการเรียนรู้ แบบนี้ มากกว่าการพักผ่อนหย่อนใจแบบไปเดินช็อปปิ้ง เสียเงินซื้อสินค้าราคาแพง และบ่มเพาะความโลภ จิตบริโภค
นี่คือข้อเรียนรู้จากการอยู่ต่อที่ วอชิงตัน ดีซี อีก ๒ วัน ยอมเสียค่าโรงแรมสองวัน ๓๙๘ เหรียญ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อไปฝังตัวเรียนรู้ จากการเที่ยวพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และสวนพฤกษศาสตร์
ระหว่างเที่ยวคนเดียว ผมรู้สึกว่าขาดๆ อะไรไป แล้วก็นึกขึ้นได้ ว่าขาด “สาวน้อย” คู่ใจ นั่นเอง
วิจารณ์ พานิช
๑๑ พ.ย. ๕๘
บนเครื่องบิน ANA จาก วอชิงตัน ดีซี ไปโตเกียว และเขียนต่อที่บ้าน
ไม่มีความเห็น