ใครๆก็รู้จักความเมตตาดี รู้จักกันทุกคน แต่คงมีไม่มากที่จะเห็นประโยชน์ของความเมตตาและมีความพยายามที่จะทำให้มันเพิ่มขึ้นในจิตใจ ลองพิจารณาดูจะเห็นว่าความเมตตานั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนภายในหลายอย่างและสามารถนำพลังของเมตตาไปพัฒนารูปแบบการทำงานร่วมกับคนอื่นหรือปรับแนวความคิดในเชิงบวกและเพิ่มวิสัยท้ศน์การทำงานได้อย่างน่าอัศจรรย์
ผลสำเร็จของงานชิ้นหนึ่ง หากใส่ความเมตตาลงไปด้วยแล้วขนาดของความสำเร็จจะขยายออกไปอีกหลายเท่าตัว โดยคนที่ทำงานกลับไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่ในทางตรงข้ามกลับรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำงานนั้น โดยที่แม้จะเหนื่อยกายบ้างก็ตามทีแต่ใจนั้นไม่เหนื่อยเลย
ความเมตตาที่เกิดขึ้นในใจของใครบางคนก็อาจเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีทำงานและแนวทางของเขาอย่างมากมาย บางทีชื่อเสียงที่เคยฝันอยากได้ก็มาเองโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่มาเพราะผลงานนั้นและบางทีก็เกินกว่าที่คิดไว้เสียอีก
และความเมตตานี้ก็อาจก่อให้เกิดการพัฒนาตนเองในด้านอื่นๆอย่างใหญ่หลวง แล้วก็เป็นไปด้วยความเต็มใจ เพียงเพราะว่าต้องการเพิ่มคุณสมบัติหรือความสามารถของตนเองนั้น เพื่อที่จะได้ไปทำงานช่วยเหลือคนอื่นตามที่ต้องการ
อย่างผู้ชายคนหนึ่งอายุสามสิบต้นๆ จู่ลูกชายวัยห้าขวบกินอาหารติดคอ เข้าไปอุดที่หลอดลม สมองขาดอากาศเพียงสิบกว่านาที แม้ว่าหมอจะช่วยชีวิตได้แต่ลูกชายกลายเป็นคนสมองพิการ ต้องนอนตลอดเวลา ต้องให้อาหารทางสายยาง ต้องดูแลทุกอย่าง พ่อเป็นคนดูแลลูก แม่ออกไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัว เพราะงานดูแลคนป่วยต้องใช้ความแข็งแรงในการอุ้มยกขึ้นยกลง พลิกกลับตัว ซึ่งพ่อบ้านทำได้ดีกว่า เขาจึงทำเอง แต่กว่าจะทำได้ต้องไปเรียนวิธีการดูแล การให้อาหารทางสายยาง ผู้ชายคนนี้ก็ทำได้ เขาทำมาเป็นปี และทำได้ดีละเอียดถี่ถ้วนราวกับนางพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ ร่างกายของลูกชายไม่มีแผลกดทับเลย ซึ่งธรรมดาผู้ชายไม่น่าจะทำงานอย่างนี้ได้ แต่ที่เขาทำได้เพราะความเมตตานั่นเอง ความเมตตาต่อลูกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในตัวของผู้ชายคนหนึ่ง
มาคิดดูว่าหากผู้ชายคนนี้มีชีวิตอยู่ตามปรกติ แล้วจู่ๆเกิดมีความคิดว่าเขาอยากจะพัฒนาตนเองให้เป็นคนประณีตละเอียดถี่ถ้วน เขาจะทำได้ไหม และอีกกรณีหนึ่งคือถ้าหากลูกชายของเขาป่วยแต่เขาไม่มีความเมตตาลูกเขาเลย เขาจะทำได้ไหม คำตอบคือทำไม่ได้แน่นอนแม้ว่าจะเป็นพ่อคนเดิม อุปกรณ์ในการทำงานก็ใช้สองมือ ใช้สองขาและใช้ร่างกายเดิมๆ ดังนั้นพลังในการพัฒนาตนเองอย่างใหญ่หลวงจึงมาจากความเมตตาภายในใจนี่เอง
ความเมตตานี้จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนสำหรับนักทำงานผู้ปรารถนาความสำเร็จอย่างสูงทั้งหลาย แต่ว่าต้องใช้ความใจกว้างและใช้ปัญญาให้เห็นถึงประโยชน์ของงานอย่างตลอดสาย คือต้องใช้โยนิโสมนสิการคือปัญญาที่แยบคายสักหน่อย ว่างานที่ทำนั้นมีประโยชน์ต่อคนจำนวนมากจริงๆอย่างไร อย่างนักแสดงชื่อดังคนหนึ่งชื่อ เจ็ต ลี ความจริงก่อนหน้านี้เขาก็มีชื่อเสียงมากอยู่แล้ว แต่ในวันหนึ่งเมื่อเขาเกือบสูญเสียลูกเมียไปในคลื่นสึนามิ ขณะที่เขาตามหาไปด้วยและร้องไห้ไปด้วยและกำลังคิดว่าเขาจะดำรงชีวิตต่อไปอย่างหากสูญเสียลูกเมียไปอย่างไม่คาดฝันเช่นนี้ก็มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งพาลูกเมียเขามาส่งคืน ทั้งสามโผเข้ากอดกันด้วยความดีใจ และมิทันที่เขาจะขอบคุณเพราะมัวแต่ดีใจอยู่นั้น ชาวบ้านกลุ่มนั้นก็หายตัวไปกันหมดแล้วเพื่อไปช่วยคนอื่นต่อไป ทำให้เขาอยากช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนบ้าง ปัจจุบันเจ็ต ลี มีชื่อเสียงมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า เพราะเขาตั้งองค์กรการกุศล "หนึ่งหยวน"เพื่อช่วยเหลือคนที่ประสบกับความทุกข์ทั่วโลกและทำให้เกิดกระแสทำให้บรรดานักแสดงผู้มีชื่อเสียงทั้งหลายเอาเป็นตัวอย่าง
ความเมตตานี้เป็นอารมณ์ความรู้สึกอยู่ภายใน แต่ละคนย่อมมีไม่เท่ากัน ในทางพระพุทธศาสนาท่านจัดว่าความเมตตาเป็นบารมีหนึ่งในการบำเพ็ญของพระพุทธเจ้าเพื่อตรัสรู้ธรรมและสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลาย ความเมตตานี้เป็นสิ่งที่พัฒนาได้ สร้างเพิ่มขึ้นได้ ท่านเรียกว่าการเจริญเมตตา เจริญคือทำให้มาก ทำบ่อยๆ ซึ่งไม่ใช่ทำแค่ท่องคำแผ่เมตตาก่อนนอนเท่านั้น แต่ควรแทรกอยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการคิด การพูด และการกระทำกับคนอื่นๆ โดยเริ่มจากคนใกล้ตัวก่อนคือคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน จนถึงคนทั่วไป รวมถึงสัตว์ต่างๆด้วย โดยใช้ความคิดง่ายๆว่าเราต้องการความสุขอย่างไร คนอื่นก็ต้องการอย่างนั้น และเราไม่ต้องการความทุกข์อย่างใดคนอื่นก็ไม่ต้องการความทุกข์อย่างนั้นเช่นกัน