จิตตปัญญาเวชศึกษา ๒๓๑: Teacher, Facilitator and Mentor
มนุษย์มีการเรียนรู้ตลอดเวลา เหมือนกับเราถูกกำหนดมาในพันธุกรรมว่าเราจะต้องเรียน เรียนเพื่อจะอยู่รอด อยู่ร่วม หรืออยู่อย่างมีความหมาย เรียนรู้เรื่องราว "ภายใน" ตัวเราเอง และเรียนรู้เรื่องราว "ภายนอก" แค่นั้นยังไม่พอ ยังต้องเรียนรู้ปฏิสัมพันธ์ของเรื่องราวภายในกับภายนอก และปฏิสัมพันธ์ของเรื่องราวภายนอกกับนอก ทำให้ชีวิตมีการพัฒนาปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
บทสรุปของแต่ละบทเรียน (อาจจะแค่ 5 นาที จนไปถึงหลายปี) ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ "ตัวตน" ของเรา และเป็นต้นทุนพื้นฐานสำหรับการเผชิญต่อสิ่งเร้าใหม่อันต่อไปที่จะเข้ามา หาไม่มีวันหยุด
สภาวะการเรียนนั้นมียาก มีง่าย มีลำบาก มีอุปสรรคหรืออาจจะราบรื่นไปได้อย่างรวดเร็วอันมีปัจจัยประกอบมากมาย กลายเป็นศาสตร์แห่งการเรียนรู้ของมนุษย์ (Epistemology) ซึ่งน่าสนใจในการที่เราจะนำเอา "ธรรมชาติการเรียนรู้" ของมนุษย์มาทำให้เกิด optimal condition หรือสภาวะสุดยอดที่จะทำให้ประสิทธิภาพการเรียนรู้สูงสุดได้หรือไม่ และอย่างไร
เกิดมีบทบาทของคนสามกลุ่มเข้ามา คือ teacher, facilitator และ mentor สองคำแรกมาจากกิริยา teach และ facilitate อีกคำเป็นทั้งคำนามและกิริยา กิริยาที่ทั้งสามคนทำไม่เหมือนกัน บทบาทจึงแตกต่างกัน และประสิทธิภาพประสิทธิผลก็แปรไปตามความเหมาะสมของเรื่องราว ได้แก่ เรียนเรื่องอะไร เอาไปทำอะไร และในบริบทแบบไหน
Teacher
Teacher
หรือครูเป็นการไหลของความรู้จากแหล่งมากไปสู่ที่ลุ่ม
ดังนั้นการเป็นครูโดยนัยยะ หรือจะสอนใครนั้นก็แสดงว่าเรา "รู้/เข้าใจ"
ในเรื่องนั้นมากกว่าอีกผู้หนึ่ง เราก็จะได้เป็นผู้สอน
คนรู้น้อยก็เป็นผู้เรียน มีศาสตร์หลายสาขามากมายที่องค์ความรู้สั่งสมได้
พอกพูนเพิ่มได้ ทั้งคุณภาพและปริมาณ การเป็นครู หรือจะ teach ใคร
ไม่ได้แปลว่าเรารู้มากกว่าไปทุกเรื่อง แต่สำคัญที่เรื่องที่เราจะสอนนั้น
เราควรจะมีความเข้าใจและความรู้อย่างลึกซึ้ง จึงจะ "ถ่ายทอด" ได้
Facilitator
Facilitator นั้นต่างกัน ในหลายๆบริบทที่ตัวผู้จะเรียนนั้น
มีศักยภาพสูงภายในตัวเองอยู่แล้ว แต่มีอุปสรรคคือ ยังมองไม่เห็นตนเอง
ว่าเราเป็นใคร มีอะไรและไม่มีอะไรอยู่บ้าง และข้อสำคัญคือขาดแรงบันดาลใจ
ขาดตัว boost ทำให้ขาดฉันทาคติ หรือแม้จะมีฉันทาคติ
ก็ไม่พอที่จะเกิดวิริยะอุตสาหะ ยากลำบากเพื่อที่จะทำ Facilitator
ทำหน้าที่เรื่องนี้ คือ จัดบริบทเอื้ออำนวยให้เกิด self awareness, self
appreciation และ self inspiration การรู้ตัว
การมั่นใจภาคภูมิใจในต้นทุนของตัวเอง
และการเกิดแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลง Facilitator ไม่จำเป็นต้องเป็น
expert ด้านวิชาชีพหรือสาระที่ผู้เรียนต้องการจะเป็น
แต่เป็นผู้ที่ชำนาญในการตั้งคำถาม
หรือจัดบริบทที่เอื้อต่อวัตถุประสงค์ข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง self
awareness ของผู้เรียนให้คงอยู่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
หล่อเลี้ยงการเปลี่ยนแปลงที่ตามมาเอง
เพราะ Self-aware being will inevitably change สิ่งมีชีวิตใดๆที่เกิดรับรู้ตนเองจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเสมอ
(ทำไม ไม่เปลี่ยนไม่ได้เหรอ? ก็พึงพอใจกับ self แล้วไง คำตอบก็คือ self ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่ภายใน แต่หมายถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างภายในกับภายนอกด้วย ภายในเราอาจจะพึงพอใจในทุกสิ่งทุกอย่าง แต่สิ่งแวดล้อมคือบริบทที่เปลี่ยนแปลงเสมอเป็นนิรันดร์ เป็นอนิจจัง self เดิมไม่เปลี่ยนแต่ปฏิกิริยาก็ต้องปรับเปลี่ยน)
เครื่องมือสำคัญของ facilitator คือการฟังและการสะท้อน และเครื่องมือสะท้อนที่สำคัญมากคือ "คำถาม" การฟังของ facilitator เพื่อเป็นกระจกบานหนึ่งที่ช่วยทำให้มุมมองซอกหลืบต่างๆสะท้อนออกมาได้ชัดเจน ขึ้น บางมุมอาจจะซ่อนเร้นอยู่ บางมุมอาจจะน่ากลัวที่จะมองเข้าไป แต่สำคัญในการเกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อคนเรา "เห็น" ตัวตนชัดเจน ทั้งจุดแข็ง และจุดบกพร่อง ก็จะพร้อมที่จะเคลื่อนไปข้างหน้าใหม่ เติบโต พัฒนา การที่ใช้คำถามมากกว่าให้คำตอบก็เพราะ การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นพลวัตร และเป็น active process และข้อสำคัญคือหนทางแห่งการเปลี่ยนแปลงควรจะเป็นของคนๆนั้น (ผู้เรียน) เอง เป้าหมายที่เราต้องการการเปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่ที่เปลี่ยนเท่านั้น ยังต้องการให้เป็น sustainable หรือคงอยู่ต่อในสภาวะที่พัฒนาตลอดเวลาอีกด้วย คำถามดีๆจะทำให้หล่อเลี้ยงบรรยากาศเช่นนี้ไปได้นาน ดีกว่าคำตอบซึ่งจะ stasis หรืออยู่นิ่งกับที่
Mentor
Mentor แตกต่างจาก
Facilitator ตรงนี้ตัว mentor เองเป็น inspiration ของผู้เรียน
ดังนั้นนอกเหนือจากศิลปการ facilitation แล้ว mentor
ยังต้องการอีกเรื่องหนึ่งคือ "จริยาวัตร" หรือชีวิตอันสง่างาม มีคุณธรรม
จริยธรรม
Mentoring and students มีความสัมพันธ์แบบ mutual คือ ทั้งสองฝ่ายยอมรับกันและกัน ฝ่ายหนึ่งยอมรับให้อีกฝ่ายเป็น mentor และเป็น students การยอมรับนี้อยู่ในระดับที่ลึกซึ้ง ไม่สามารถจะ assign ให้ได้ ดังนั้น "ศรศิลป์" เป็นเรื่องสำคัญอีกประการ ว่าต้องไปด้วยกันได้ เดินทางร่วมกันได้ ไมได้อยู่ที่เนื้อหาสาระว่าจะเรียนอะไร แต่ครอบคลุมไปถึงชีวิตทั้งชีวิตจะเป็นอย่างไรด้วย
Mentor สามารถจะเป็นทั้ง teacher ก็ได้ เป็นทั้ง facilitator ก็ได้ หรือแม้กระทั่งบางขณะ บางเวลา การใช้ชีวิตของ mentor เองทั้งในและนอกเวลางานก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ของนักเรียนได้ อีกเช่นกัน
ทั้งสามหน้าที่ คือ teacher, facilitator และ mentor สามารถเป็นพลวัตร เปลี่ยนแปลงไปมาตามความเหมาะสมของทั้งสองฝ่าย
ทีนี้มองไปรอบๆตัวเราเอง และมองไปที่ตัวเราเอง เราเห็น "ใคร" บ้าง?
น.พ.สกล สิงหะ
หน่วยชีวันตาภิบาล ร.พ.สงขลานครินทร์
วันพุธที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๘ เวลา ๙ นาฬิกา ๒๘ นาที
วันแรม ๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะแม
ขอบคุณอาจารย์ที่ทำให้ได้เรียนรู้และทำให้ได้ย้อนกลับมามองตัวเองว่าเราเป็นใคร เรากำลังมุ่งจะเป็นอะไร และประสบการณ์ที่ผ่านมาเราได้พบกับใครมาบ้าง teacher,facilitator,mentor
ขอบคุณมากค่ะ