ลันตาไม่กลัวฝน


ผมตัดสินใจจองห้องพักที่ลันตาอีกครั้ง หลังจากประวิงเวลามากว่าเกือบเดือน

ก่อนหน้านี้ หลังจากตัดสินใจแลกเวรผู้บริหารนอกเวลาราชการของวันที่ ๓๐-๓๑ กรกฎาคม ออกไปได้ ผมกับเมียก็รีบหาตั๋วเครื่องบินเพื่อพาลูกสาวทั้ง ๒ คนออกเที่ยว เริ่มต้นนั้นลองจิ้มหาตั๋วเรือบินไปสิงคโปร์กับสายการบินตราเสือ แต่นั่นหมายถึงค่าตั๋วทั้งครอบครัวซัดไปเกือบ ๕ หมื่นบาท เล่นเอานิ้วสั่น จากนั้นก็ลองหาเรือบินไปฮ่องกง นั่นก็ปาไปกว่า ๕ หมื่นบาท หลังจากมองหน้ากันครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจพับโครงการไปเมืองนอก แล้วหันมาหาที่เที่ยวในประเทศกันต่อ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังตัดสินใจกันไม่ได้

อันที่จริงก็อยากไปลันตา แต่ช่วงเดือนนี้พอคาดเดาสภาวะอากาศกันได้ ว่าคงจะเจอแต่มรสุม นอนตีพุงในห้องพักกันเป็นส่วนใหญ่

"พ่ออยากไปราชบุรี ไปนอนสวนผึ้งกัน" ผมเสนอ

"ราชบุรีตอนนี้ก็มีแต่ฝนสิ" เมียตอบ

"งั้นไปชุมพร พ่ออยากไปชุมพร พ่ออยากแวะหลังสวน อยากไปดูบ้านห้องแถวที่พ่อเติบโตมา อยากพาลูกเข้าไปในวัดด่าน วัดที่ปู่เคยปั่นจักรยานพาพ่อไปดูเรือแข่งในแม่น้ำหลังสวนหลังโรงเรียนเลิก อยากไปดูโรงเรียนนายแจ้ง โรงเรียนแรกในชีวิตพ่อ" ผมเสนอชุมพรออกไปเพราะว่า ในช่วงก่อนปิดยาวราวสัปดาห์ ผมได้ดูแลคนไข้คนหนึ่งที่ถูกส่งตัวมาจากชุมพร ผมได้คุยกับสามีเธอก็ทราบว่า บ้านของทั้งคู่อยู่ที่หลังสวน มันจึงทำให้ผมอยากไปแวะที่นั่นขึ้นมาจับใจ (มันเกี่ยวกันจังเลยนะ)

"ไม่เห็นจะมีที่พักที่น่านอนเลย" การตอบแบบนี้ของคนที่นอนข้างๆ ทำให้ผมคะเนได้ในใจว่า มันคงไม่ผ่าน

จำได้ว่า ในอดีต เราทั้งคู่เคยอยากไปพักที่ "ชุมพรคาบาน่า" มากๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยมีโอกาส มันเต็มตลอด จนล่วงมาถึงตอนนี้มันก็เริ่มเก่าไปเสียแล้ว (อันที่จริง ผมก็ยังคงอยากไปอยู่นะ)

ผมปล่อยเวลาจนมาถึง ๒ วันก่อนไปเท่ียว จึงได้จัดแจงจองที่พักที่ลันตา คราวนี้เราจองที่ "รวิวาริน" รีสอร์ทหรูแถวๆหาดคลองโตบ

เราขับรถผ่านรีสอร์ทนี้มาก็หลายครั้ง เคยเข้าไปเพื่อจะดูราคา ก็ได้แต่กลืนน้ำลายกัน ๒ คนผัวเมีย ราคามันแตะไม่ถึง แต่คราวนี้ราคาอยู่ที่เกือบ ๓ พันต่อคืน นั่นเป็นเพราะมันอยู่ในช่วง low season อีกทั้งจิ๋มได้ตรวจสอบสภาพอากาศมาก่อนแล้ว คาดเดาว่าฝนจะตกน้อยๆ ถึงปานกลาง

หมายความว่า การเดินทางเราได้เริ่มขึ้นแล้ว เราจะไปลันตากัน

เริ่มกันเลยนะ ทริปนี้ จะไม่เล่าเรื่องการเดินทาง แต่จะเล่าเรื่องของกินแทนละกันนะครับ

-------------------------------------------------------

๓๐ กรกฏาคม ๒๕๕๘ เช้าวันนี้อากาศดีครับ

เราออกจากบ้านตั้งแต่เกือบ ๗ โมงเช้า ตั้งใจว่าจะไปกินมื้อเช้าท่ีตรัง เมืองที่มีของกินมากมายไม่รู้จบ แต่จนแล้วจนรอด เราก็มักไปกินกันที่ร้านเดิมๆ แต่ครั้งนี้ผมตั้งใจจะไปกินที่ร้านเล็กๆ จอดรถง่ายๆ คนไม่พลุกพล่าน และอร่อย จึงตั้ง GPS ไปที่ "จีบขาว"

จีบขาว เป็นร้านขายอาหารเช้าขนาด ๒ คูหา มีคนนั่งเพียงไม่กี่โต๊ะจริงๆในเช้าวันนั้น ผมเลือกที่จะสั่ง "ก๋วยเตี๋ยวแคะ" มากิน ผมชอบก๋วยเตี๋ยวแคะมากครับ (ไม่รู้ว่า อันที่จริง ควรเรียกว่า แคะ หรือ แคระ ก๋วยเตี๋ยวจีนแคะหรือจีนแคระนี่เป็นอาหารสุดโปรดของผมเชียว) ผมชอบเต้าหูยัดไส้ทอด เต้าหูขาวนึ่ง น้ำซุบของร้านนี้ปรุงมาได้อร่อยพอดีโดยไม่ต้องปรุงเพิ่มเติม ผมอยากจะสั่งมากินอีกชาม แต่น้องจ้าบอกว่าจะลองกินโจ๊กดูบ้าง ผมเลยต้องหยุด และคอยกินของเหลือจากลูกสาวคนนี้

เขาบอกว่าฮะเก๋า หรือ ขนมจีบขาวของที่นี่อร่อยนัก

ฮะเก๋า เป็นอาหารที่มีเพียงแป้งใสๆและเนื้อหมูอยู่ด้านใน ทำให้อร่อยได้ยาก ดังนั้นร้านไหนทำฮะเก๋าได้อร่อย เชื่อได้ว่า ร้านนั้นฝีมือดี และผมก็ยืนยันว่า ร้านนี้ฝีมือดี แต่ที่ผมชอบมากกว่าจีบขาวก็คือเครื่องเคียงประเภทเต้าหู้ ที่ผมหยิบเอามาใส่ในน้ำซุบของก๋วยเตี๋ยวเมื่อครู่ และกินมันคู่กับซดน้ำซุบดังซูดๆ โอย...ได้แรงอก

เราออกเดินทางกันต่อหลังจากจัดการกับมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยและเรียบง่าย ไม่ต้องไปเบียดกับผู้คนในร้านที่ขึ้นชื่ออื่นๆ และเพียงครู่หนึ่งเราก็ฝ่าพายุฝนมาจนถึงท่าเรือข้ามไปยังเกาะลันตา เรื่องฝนไม่ได้เกินความคาดหมาย เพราะเรามาที่นี่ในฤดูมรสุม เพียงแต่หวังใจในลึกๆว่า ฝนน่าจะหยุดให้เราได้ลงน้ำกันบ้างก็แค่นั้น และเพียงแค่คิดเพราะเมื่อเรามาถึงท่าเรือลงเกาะ ฝนสักเม็ดก็แทบจะหาไม่เจอ

จากแผ่นดินลงเกาะลันตาน้อย ระยะทางนั่งแพยาวประมาณเกือบ ๒ กิโลเมตร แต่จากลันตาน้อยไปลันตาใหญ่ ระยะห่างเพียงแค่คลองกั้น ดังนั้นตอนนี้มันจึงกำลังจะถูกแทนที่ด้วยสะพานซึ่งถูกสร้างมานานกว่า ๒ ปีแล้ว (หรือ ๓ ปีก็ไม่แน่ใจนัก แต่งานก่อสร้างล่าช้าล่วงเลยมักจะเป็นธรรมเนียมไทยจนผมแทบจะนึกไม่ออกว่า ถนนและสะพาน เขาควรจะใช้เวลาสร้างจริงๆนานเท่าใด) ผมไม่ค่อยแน่ใจนัก ว่ามาลันตาปีหน้า มันจะถูกสร้างเสร็จแล้วหรือยัง

เราคุยกันในรถ ว่าจะไปหาข้าวเที่ยงกินกันก่อนเข้ารีสอร์ท และร้านอาหาร "เขาใหญ่" จึงถูกคัดเลือกเป็นร้านแรกในเกาะวันนี้ เผื่อว่าฝนตกอีก เราจะได้นั่งกันสบายๆ

"เขาใหญ่" มีที่ตั้งอยู่บนเขา กลางเกาะ แต่ก่อนนั้น ผมมักจะออกจากรีสอร์ทแล้วเลี้ยวขวาพุ่งไปทางทิศใต้ขึ้นเขาไป แต่คราวนี้ เราขึ้นมาจากแพ จึงเลือกที่จะเลี้ยวซ้ายที่ ๓ แยกแรกของเกาะ หากดูในแผนที่จะเข้าใจได้ในทันที ว่าผมวิ่งไปยังบริเวณหมู่บ้านของชาวบ้านที่นี่และเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลเกาะลันตา เราน่าจะร่นระยะทางไปได้หลายกิโลเมตรอยู่

ร้านนี้เรามากินกันเกือบทุกครั้งที่มาลันตา ร้านอยู่บริเวณสันเขา หันหน้าไปทางทิศตะวันออก สามารถมองเห็นเกาะไหงและหมู่เกาะทะเลตรังได้จากตรงนี้ (เกาะไหงเป็นเกาะของกระบี่นะครับ หลายคนอาจจะเข้าใจว่าเป็นของตรัง เพราะนั่งเรือไปจากท่าเรือปากเมง) เรามาบ่อยจนเจ้าของร้านจำได้ เมื่อปีใหม่ยังถามถึงเด็กๆเลย คราวนั้นพ่อกับแม่มากัน ๒ คน

เมนูปกติที่ต้องสั่งกินที่ร้านนี้คือ กุ้งราดซ๊อสมะขาม ปลาทอดน้ำปลา แต่ครั้งนี้เราเลือกสั่งข้าวผัด ย้ำวุ้นเส้น และแกงจืดสาหร่าย นั่งกินสบายๆ เพราะเราเป็นแขกเพียงโต๊ะเดียวที่กินอยู่ น้ำมะพร้าวอ่อนช่วยทำให้อากาศชื้นๆหลังฝนดูโรแมนติก

ร้านนี้ผมแนะนำครับ กินมาเกือบ ๑๐ ปี รสชาติไม่เปลี่ยนแปลง บรรยากาศช่วงเที่ยงไม่ร้อนเพราะอยู่เหนือกว่ายอดต้นยางและมีลมพัดเอื่อยๆตลอดเวลา อย่าลืมพกแว่นตาดำไปด้วยหากอยากมองเห็นหมู่เกาะทะเลตรังโดยไม่หยีตา ราคาค่อนข้างสูงแต่ถูกกว่ากินในโรงแรม มาสักครั้งก็จะติดใจเหมือนกับที่ผมและจิ๋มต้องมากินกันทุกปี

เรามาถึงรีสอร์ทราวบ่ายสอง กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนรอ check in กันอยู่กลุ่มใหญ่ น้องจ้าบอกว่า "ดีจัง คนมาเที่ยวเยอะๆ จะได้ไม่เหงา" แม่คนนี้ของผมเธอชอบคนพลุกพล่านครับ

รวิวาริน เป็นรีสอร์ทที่ร่มรื่นพอควรครับ ต้นไม้โตและให้ร่มเงาได้ดี เขาทำน้ำตกไว้ที่หน้ารีสอร์ทและปล่อยให้น้ำไหลลงมาตามทางน้ำลงมาสู่สระบัว ทำศาลาไว้กลางสระ แถมตัวเหี้ยให้ดูเล่นเพลินๆ ๓ ตัว เหี้ยจริงๆ เหี้ยตัวเป็นๆ มันคลานเล่นในสนามหญ้า กินไส้เดือน ดูดจ๊วบๆ ยังกะดูดเส้นสปาเก็ตตี้เลยเชียว

ผมชอบทะเลของที่นี่ ที่ชอบไม่ใช่เพราะทรายสวย อันที่จริงมันสู้แถวหาดคลองดาวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ที่นี่มีกองหินที่มีชีวิตครับ มันเป็นกองหินที่มีสาหร่ายเกาะอยู่เต็มไปหมด เวลาน้ำลงเราจะเห็นชาวบ้านลงไปเดินเก็บหอยกันหลายคน ผมก็ลงไปด้วย แต่ไปได้ไม่มากนักเพราะหินมันทิ่มตีนเอา ที่น่าสนใจมากก็คือ เม่นทะเลมีให้เห็นตามโขดหินมากมาย อันนี้แป้งทำท่าสนใจ

มื้อเย็นคืนนี้เราเลือกที่จะกินกันในโรงแรม เพราะเหนื่อยกับการเดินทางและเล่นน้ำในช่วงบ่าย

พี่แป้งเลือกกินสลัดทูน่าย่าง ผมให้คะแนน ๓.๕ เต็ม ๕ แต้ม เนื้อปลาอร่อย แต่น้ำสลัดเปรี้ยวนำจนเกินงามไปนิด น้องจ้าเลือกกินพิซซ่า ผมให้ ๓.๕ เช่นเดียวกัน อันนี้ไม่มีเหตุผล พี่แป้งสรุปว่ากินแบบนี้ดีกว่าไปกินในส่วนที่เป็นบุฟเฟ่ เพราะบ้านเราไปกินคงขาดทุน

บรรยาศขณะกินให้ ๕ แต้ม เพราะฝนตกหนัก ลมกรรโชกแรง มีฟ้าผ่าให้เสียวเล่นราว ๓-๔ ลูก แต่น่าฉงนเมื่อเราจะกลับห้อง มันก็หยุดตกเสียเฉยๆ อย่างนี้ผมเรียกว่า "เทวดาเอ็นดู" ครั้นกลับเข้าถึงห้องพัก ฝนจึงได้ตกอย่างสมอกสมใจ ตกทั้งคืน

ตื่นเช้าขึ้นมาชุ่มชื่นหัวใจกับฝนฟ้าเมื่อคืนที่ทิ้งร่องรอยไว้ พวกเราทั้ง ๔ ไปกินมื้อเช้าแล้วกลิ้งเกลือกกันไปมาจนถึงเวลาเที่ยง เราจึงออกไปหาของกินมื้อเที่ยงกัน

Same same but different คือร้านที่ถูกจัดวางไว้ในแผน เนื่องจากเมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาพ่อกับแม่มากินแล้วติดใจ

ออกจากโรงแรมเลี้ยวขวา แล้วขับตรงไปราวกิโลเมตรเศษ จากนั้นเลี้ยวขวาลงหาดคลองนิน ขับเลียบทะเลไปเรื่อยๆ ราว ๖ กิโลเมตรก็จะถึง Same same but different มันเป็นรัานอาหารปลีกวิเวกติดกับรีสอร์ทสุดหรูพิมาลัย ไม่ชะลอความเร็วรับรองว่าเลยพ้นไป

ผมรับรองว่าใครมาที่นี่ ก็จะต้องเป็นลูกค้าตลอดไปอย่างที่ผมต้องไปร้านอาหารเขาใหญ่ทุกครั้ง เพราะร้านอาหารจัดวางได้สวยงาม ดูสวยอย่างศิลป์ ทางเดินเข้าร้านอาหารร่มรื่นด้วยต้นไม้สูงโปร่ง ทางเดินเป็นสะพานไม้ไผ่ ยามหน้าท่องเที่ยว ชายหาดด้านหน้านั้นจะสะอาดสวยงามมาก มีเรือยอร์ชจอดหน้าหาดมากมาย ส่วนหนึ่งเขาขับเรือมากินอาหารร้านนี้ (เห็นไหม ร้านนี้ไม่ใช่ขี้ๆนะ จะบอกให้) แต่ในวันนี้ วันที่ทะเลมีคลื่นลม หน้าหาดถูกซัดร่นเข้ามาจนเหลือพื้นที่เพียงครึ่งหนึ่งของครั้งก่อน ขยะหน้าชายหาดมีมากจนน่าฉงน ผมเชื่อว่ามันมาจากทะเล มรดกที่คนเขี้ยงทิ้งในทะเลมันเข้ามากองอยู่แถบนี้

เมื่อเราเดินเข้ามาก็พบว่า ครอบครัวเราเป็นเพียงแขกชุดเดียวของทางร้าน ผมทักทายน้องคนเสิร์ฟที่รู้จักเขาจากเมื่อครั้งก่อน (แต่เขาไม่รู้จักเราหรอก) เธอบอกว่า "ช่วงนี้เงียบฉี่" อาหารสดมีไม่มากนัก ไม่มีปลา มีแต่กุ้ง หมึก เพราะชาวบ้านออกเรือไปหาปลาไม่ได้ เขาซื้ออาหารทะเลสดจากชาวบ้านเท่านั้น ดังนั้นเมนูวันนี้จึงมี กุ้งอบเกลือ ต้มยำซีฟู้ดส์ น้ำพริกกุ้งสด และไข่เจียว น้องจ้าสั่งน้ำมะม่วงปั่นมากินเคียงกัน

มาตรฐานความอร่อยยังคงเท่าเดิม คืออร่อยมาก ผมให้คะแนนความอร่อยอยู่ที่ ๔.๕ (แบบว่า หากอยากเป็น ๕ แต้ม ต้องกินแล้วน้ำตาร่วงด้วยความอิ่มเอมอิ่มอกอิ่มใจเลยนะ) ราคาค่อนข้างสูงไปสักหน่อย แต่เมื่อเราเตรียมใจมากินที่นี่แล้ว ราคาคงไม่ใช่อุปสรรคของอารมณ์

ร้านนี้ผมแนะนำ ว่าควรมากินสักครั้ง

กลับโรงแรมช่วงบ่าย พักผ่อนพอสังเขปแล้วก็ลงเล่นน้ำกัน

บริเวณห้องพัก จะมีสระน้ำอยู่ ๒ ที่ แห่งแรกเป็นสระใหญ่ คนเล่นน้ำมากมาย อีกแห่งอยู่หลังห้องของเรา เป็นสระยาว ๒๕ เมตร ผมกับน้องจ้าเลือกที่นี่เป็นอันดับแรก และเป็นสระที่เรียกความมั่นใจผมกลับมาได้อีกหนทันทีที่ผมว่ายต่อเนื่องกัน ๕๐๐ เมตร นึกถึงความหลังกันเลยเชียวครับ สมัยก่อน ตอนเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ ๓ ทุกเย็น ผมและเพื่อนอีก ๒-๓ คนจะไปว่ายน้ำในสระของมหาวิทยาลัย ว่ายกันคนละพันเมตร แล้วไปวิ่งรอบอ่างน้ำ ๒ รอบ เรียกได้ว่า ชีวิตช่วงนั้นพี๊คและฟิตที่สุดแล้ว อย่ามาดูตอนนี้ที่วิ่งสัก ๔ กิโลเมตรก็เล่นเอาลิ้นห้อย แถมว่ายน้ำก็ได้ระยะทางเพียงเสี้ยวขอบสระ ลูกจะเรียกให้มาว่ายเล่นกับเธอ ดำน้ำกับเธออยู่ตลอดเวลา การที่ได้ระยะทาง ๕๐๐ เมตรนี่ ทำเอาตื้นตันจนน้ำตาแทบหยดออกมาเป็นสายเลือด (เอิ่ม...อันที่จริงก็เว่อร์ไปนิดนะครับ)

มาถึงมื้อเย็น เสียงโหวตเริ่มแตก ลูกสาวอยากกินในโรงแรม แม่อยากกินข้างนอก เธอบอกว่าช่วงระยะทางที่ไป Same same นั้น มีร้านข้างทางที่มีรถจอดกินอยู่หลายคัน น่าจะไปร้านนั้น การโหวตจึงเริ่มขึ้น ลูกได้ ๒ แต้ม แม่ได้ ๑ แต้ม พ่อจึงช่วยเข้าข้างแม่ เราจึงมีคะแนน ๒ แต้มเท่ากัน และเนื่องจากพ่อกับแม่แขนใหญ่กว่า เราจึงขอชนะ

"ไดมอนด์คลิฟท์" คือชื่อร้านนั้น

มันเป็นร้านที่อยู่ริมทางจริงๆ ริมทางโค้งบนเชิงเขา เราต้องจอดรถริมถนนแล้วเดินเข้าไป แต่แหม...เดินเข้าไปในร้าน เราต้องลงบันไดลาดชันราว ๖๐ องศา ลงไปในตัวร้าน แถมตัวร้านมันอยู่ชิดหน้าผา หันหน้าไปทางทิศตะวันตกออกทะเลกว้างไกล ใครกลัวความสูงคงมีเคืองหากถูกพามาร้านนี้ เราอาจจะเลือกนั่งเก้าอี้ชนิดบาร์แล้วหันหน้าชมพระอาทิตย์ตกน้ำก็ได้ แต่พี่แป้งเลือกนั่งด้านในเข้ามาสักนิด เธอคงกลัวมือถือตกทะเลกระมัง

เรามาลันตากันก็หลายปี แต่คราวนี้ถือว่าตัดสินใจถูกที่สุดที่ออกมากินที่นี่ เพราะราคาอาหารไม่แพงมากนัก และที่สำคัญที่สุดคือ อร่อย

แป้งสั่งสปาร์เก็ตตี้คาโบนาร่า จ้าสั่งคลับแซนด์วิชส์ จิ๋มสั่งพอร์คช็อป และผมสั่งข้าวผัดเผ็ดเนื้อ แม่เจ้า มันอร่อยเด็ดดวงครับ ผมให้ ๔ ดาวครึ่งเช่นกัน จิ๋มสั่งมาฮิโต้มานั่งจิบสบายอารมณ์ แต่ทว่าเมื่อสาวแป้งเกิดปวดขี้ขึ้นมาทันทีทันใด เราต้องกลับกันแล้ว ทำให้เธอต้องรีบดูดคอกเทลแก้วนั้นจนหมดอย่างรวดเร็ว เล่นเอาต้องจูงมือกันเพราะเมาไม่ทัน

ต้องลองไปกันนะครับ ของเค้าดีจริง

เป็นอันว่า วันที่ ๒ ของลันตา เราไม่เจอฝน (แต่ในข่าว เรารู้มาว่า เกาะสมุย หัวหิน ฝนลงหนัก พม่าก็เจอฝนหนัก แต่ที่เรา เมฆคงเป็นรูที่ลันตา)

วันเสาร์ที่ ๑ สิงหาคม เป็นวันที่เราจะกลับบ้าน ผมกับจิ๋มวางแผนกันไว้ว่าจะไปกินมื้อเที่ยงกันที่ตรัง จึงส่งข้อความไปถามลูกศิษย์ ว่าที่กันตังมีร้านไหนน่าเข้าไปนั่งกินบ้าง เธอตอบกลับมาว่า "โกเกี้ย"

แต่แผนของเรากลับไม่เป็นดังหวังครับ เนื่องจากระยะเวลารอขึ้นแพนั้นกินเวลาของเราไปเกือบ ๒ ชั่วโมง ลูกๆหิวมาก จึงแวะปั๊มซื้อข้าวกล่องกินกันพลาง ส่วนผมจะหิ้วท้องรอ ผมจะไปกินข้าวร้านโกเกี้ยให้ได้ ผมตั้ง GPS ให้นำทางไปสถานีรถไฟกันตังก่อน เขาบอกมาว่า หากจะถ่ายรูปในกันตังต้องมาที่นี่ และเราก็ได้มาจริงๆ "สุดเส้นทางสายอันดามัน"

เรามาถึงร้านโกเกี้ยราว ๔ โมงครึ่ง ซึ่งมันห่างจากเวลากินอาหารมื้อเที่ยงของผมไปนานมาก แต่การรอคอยนั้นก็ไม่น่าผิดหวัง คุณป้าเจ้าของร้านออกมารับแขกและจัดที่นั่งให้เรา แกบอกว่า ปกติจะปิดร้านตอนบ่าย ๒ เพื่อให้ลูกน้องได้พัก แล้วค่อยเปิดอีกทีตอน ๕ โมงเย็น แต่วันนี้ร้านมีแขกเข้าตั้งแต่เที่ยง คล้อยมาจนบ่ายสาม และสี่โมงกว่า แขกโต๊ะสุดท้ายเพิ่งกินเสร็จและผมเข้ามาต่อ จึงต้องต้อนรับและขอปิดประตูร้านก่อน โอ้โห ดู VIP มีโชคเข้าข้างชะมัด เขาปิดร้านไม่ได้เพราะรอเรามากินนี่เอง (ถึงตอนนี้ ร้องไห้หนักมาก)

มื้อนี้พี่แป้งขอกินเฉพาะไข่ตุ๋น เพราะอาหารกล่องคำสุดท้ายเพิ่งลงท้องไปเมื่อราวชั่วโมงเศษที่ผ่านมาเอง ผมสั่ง "ปูห่อทองคำทอดกรอบ-สุพรรณหงส์" เอิ่ม...มันคือฮ่อยจ๊อครับ แหม...แกตั้งชื่อซะหรูที่สุดในโลก ฮ่อยจ๊อร้อนๆถูกเสิร์ฟมาบนเรือลำเล็กๆ แต่ดูยังไงก็ไม่ใช่สุพรรณหงส์ไปได้ เมนูนี้ผมให้ ๔ แต้ม อีกจานก็คือ "ราดหน้าซุปเปอร์เศรษฐี จ.ตรัง" มันคือเมนูเด่นของร้านนี้ ไม่ได้ชื่อเศรษฐีเพราะราคาแพง แต่มันอุดมไปด้วยปู หมึก หอยแมงภู่ ปลาทอด หอยเชลล์ และมีแป้งสีขาวๆท่อนยาวๆคล้ายหนวดหมึกแต่ไม่ใช่หนวดหมึก (ผมว่ามันคล้ายๆกับต๊อกป๊อกกีของเกาหลีแฮะ) อุแม่เจ้า มันอร่อยจริงๆครับ ๔.๗ ไปเลยกับจานนี้ สรุปว่า "ฟาดเรียบ"

ร้านนี้ ผมถือว่าเป็นเพราะโชคจึงได้กิน และคงเป็นแฟนเขาไปอีกคนหนึ่ง

ทริปลันตาครั้งนี้จึงพิเศษ

พิเศษตรงที่มีโชคมาช่วยหลายเรื่อง

ลันตาหน้ามรสุม เราไม่เจอฝน

ลันตาหน้า low เรายังเจอผู้คนมากพอให้ไม่เหงา

ลันตามีของกินที่อร่อยๆหลบซ่อนอยู่ และเราก็เจอโดยบังเอิญ

ลันตาขากลับ มีร้านเปิดรอเรามากิน

ลันตาทำให้มีความสุขเสมอ

สวัสดี ปีหน้าเจอกันใหม่นะ ลันตา

หมายเลขบันทึก: 593206เขียนเมื่อ 6 สิงหาคม 2015 21:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 สิงหาคม 2015 21:34 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ไม่เคยไปลันตาเลยครับ

ไปแต่หลังสวนบ่อยมากไปที่วัดด่านด้วย

เดือนนี้จะไปที่หลังสวนอีก ถ้าได้รูปหลังสวนจะเอารูปมาให้คุณหมอดูนะครับ

สาวน้อยของผม 2 คน แป้งและจ้า โตเป็นสาวแล้วไวมากๆ

ขอบคุณเรื่องเล่าดีๆจากลันตานะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท