เพียงความรำพึง : เขียนถึงเหตุแห่งทุกข์




ความอยากได้
ความอยากมี/ไม่มี
ความอยากเป็น/ไม่เป็น
คือ เหตุแห่งทุกข์



จะมีสิ่งใดในโลก
ที่ได้ดั่งใจเราไปทุกอย่าง
ทุกอย่าง คือ ความไม่มี



เกิดมาในโลก
เพียงแค่ทำดีต่อกัน
บุญกุศลก็เกิดขึ้นแล้ว



ไม่มีใครเกิดมาแล้วไร้ค่า
แม้แต่ฝุ่นผงธุลีดิน



พุทธศาสนาสอนเรื่องทุกอย่างมีเหตุมีผล
ความรักก็ไม่ต่างกัน



ใครไม่เคยทำอะไรผิดพลาด
ไม่มีในโลก



ใครเกิดมาสมบูรณ์แบบ
ไม่มีในโลก



สุข-ทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา
ขอเพียงทำความเข้าใจ



วิธีคิดดั่งเดิมที่เกิดทุกข์ไม่เปลี่ยน
ปัจจุบันและอนาคตก็ไม่เปลี่ยน



สุขสมก็เพราะความคิด
ทุกข์หนักก็เป็นเพราะความคิดเช่นกัน



ทุกข์น้อยลง คือ เหตุปัจจัยน้อยลง
มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ดีขึ้น



หว่านเมล็ดพืชความทุกข์ฉันใด
ต้นความทุกข์ก็งอกงามฉันนั้น



อยากให้เขาเข้าใจและทำดีกับเรามาก ๆ
แต่ตัวเองไม่เคยเริ่มหว่านเมล็ดความดี
แล้วความดีจะเจริญเติบโตได้อย่างไร



อริยสัจสี่
ไม่ได้เป็นเพียงแต่ธรรมะที่รับรู้กันลอย ๆ
แต่เป็นธรรมะที่พึงเข้าใจและปฏิบัติให้ได้ที่สุด



ร่องรอยของความงาม
อยู่ที่เราจะเดินตามธรรมะ
หรือจิตอันขุ่นมัวของตัวเอง



พระพุทธองค์ไม่เคยบังคับให้ใครเชื่อเรื่องเหตุแห่งทุกข์
แต่เหตุแห่งทุกข์มันอยู่ใกล้เราเพียงเท่านี้เอง
อยู่ที่เราจะทำอย่างไรกับชีวิตของตัวเองเท่านั้น
เราเลือกได้นี่ ชีวิตเรา



อยากได้โน่น อยากได้นี่ มากแค่ไหน
แต่ความพอดีก็ควรเดินไปด้วยทุกที่



ชีวิตเราเลือกได้ว่า
จะชั่งทุกข์ หรือ สุข
มากกว่ากัน



ตาชั่ง แสดงทุกข์หนักขึ้นแล้ว
หน้าที่ของเราควรทำให้ทุกข์มันเบาลง
มิใช่หรือ



แบกทุกอย่างเอาไว้
หนักไหมล่ะ
แค่ปล่อยและวาง
หนทางก็เบาสบาย



อัตตานำพาทุกขัง
เหตุใดจึงไม่ยอมลดมัน



ทำอะไรก็แค่คิดถึงหัวใจคนอื่น
โดยเฉพาะคนที่เขารักเรา



ลด ละ ปล่อยวาง
ถึงจะยาก
แต่ก็มิใช่เป็นไปไม่ได้



ทุกข์-สุขอยู่ที่ใจ
อยากได้อะไร
ก็เลือกเอาเอง



ทุกอย่างคือเหตุปัจจัย
ทำอะไรย่อมได้อย่างนั้นเสมอ



อย่าแบกโลกไว้คนเดียว
เพราะโลกไม่ใช่ของเราคนเดียว



บุญกุศลไม่ใช่แค่เป็นเรื่องของทาน
แต่เป็นเรื่องของใจ
บุญกุศลเริ่มที่ใจ



รู้เรื่องชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้า
แล้วรู้ใช่ไหมว่า ชาตินี้ต้องทำอย่างไร



การให้อภัย คือ ทานอันสูงสุด
มันเป็นสัจธรรม



แค่ปัจจุบันทำดีที่สุดก็พอ
อย่ารออดีตหรืออนาคตมาเป็นเงื่อนไข



อย่าคิดถึงแต่อนาคต
จนไม่ยอมทำปัจจุบัน



"ปมเขื่อง" ท่านพุทธทาสว่าไว้
ปลดได้เมื่อไหร่
หัวใจมีแต่สุข




... ยามค่ำคืน ...
... บ้านปลายดง ณ หางดอย ...
... เชียงใหม่ ...

... ๑๔ ก.ค.๕๘ ...



..............................................................................................................................................................

* สมุทัย : เหตุให้ทุกข์เกิด

สมุทัย แปลว่า “เหตุให้ทุกข์เกิด” หมายความว่า ความทุกข์ทั้งหมดในอริยสัจข้อที่ ๑ เหล่านั้นมิได้เกิดขึ้นมาลอย ๆ จะต้องมีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้ทุกข์เกิดขึ้น พระพุทธองค์นอกจากจะทรงรู้จักตัวความทุกข์อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ยังทรงรู้สึกถึงสาเหตุอันแท้จริงที่ทำให้เกิดความทุกข์นั้นด้วยโดยพระพุทธองค์ทรงชี้ว่า ตัณหา คือความอยากเกินพอดีที่มีอยู่ในจิตใจนั่นเอง เป็นตัวเหตุให้เกิดความทุกข์ ตัณหา นั้นมีอยู่ ๓ ประการ คือ

๑. กามตัณหา คือ ความอยากได้อย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งเกิดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เช่น ตาเห็นรูปสวยงาม ก็เกิดความอยากได้ อยากได้บ้านสวย ๆ ราคาแพง อยากได้เสื้อผ้าสวย ๆ อยากได้รถยนต์คันงาม เป็นต้น ความอยากทำนองนี้เป็นความอยากในสิ่งที่รักใคร่ และน่าพอใจ เป็นความอยากที่ไม่รู้จบ เมื่อไม่ได้ตามความประสงค์ก็จะเกิดทุกข์

๒. ภวตัณหา คือ ความอยากเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เป็นความอยากได้ในตำแหน่งฐานะที่สูงขึ้นตามที่ตนรักใคร่และพอใจ เช่น อยากเป็นข้าราชการในตำแหน่งสูงๆ อยากเป็นมหาเศรษฐีและอยากเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง เป็นต้น เมื่อไม่ได้ดังใจปรารถนาก็เป็นทุกข์

๓. วิภวตัณหา คือ ความอยากไม่เป็น ความอยากไม่มี จัดเป็นความอยากที่ประกอบกับความเบื่อหน่ายในสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยต้องการจะหลีกหนีให้พ้นจากสภาพนั้นไป เช่น อยากไม่เป็นคนโง่ อยากไม่เป็นคนพิการ และอยากไม่เป็นคนยากจน เป็นต้น ซึ่งความอยากไม่เป็นนี้ ถ้าไม่เป็นไปตามที่ตนต้องการแล้วก็จะทำให้เกิดทุกข์ เช่นเดียวกัน

ตัณหา คือ ความอยากทั้ง ๓ ประการนี้ ถ้าอยากจนเกินพอดี คือ ไม่ได้คำนึงถึงความเป็นไปได้ หรือเป็นไปไม่ได้ ควรหรือไม่ควร เป็นต้น ย่อมทำให้เกิดเป็นทุกข์ทั้งสิ้น


(อ้างอิงจาก http://chanwit36.blogspot.com/2010/11/4.html)


หมายเลขบันทึก: 592326เขียนเมื่อ 14 กรกฎาคม 2015 00:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 กรกฎาคม 2015 01:35 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

" แวะมาเยี่ยมจ้า

ยามค่ำคืนปล่อยธรรมะ

(เป็นกะตั๊ก) ....(พรุ่งนี้วันพระ แหะ... แหะ )

อนุโมทนาค่ะ ...ทุกอย่างเป็นธรรม "

มีคาถากันอยากสารพัดอยาก..เขาสอนกันมา..เวลาเดินยืนนั่งก่อนจะนอน..ภาวนาว่า..พองหนอ ยุบหนอ เน่าหนอ เปลื่อยหนอ...พอไว้แก้ขัดเวลา ห...ย..า..ก....(จิตตภาวนา)...

มีบัวแรกแย้ม มาฝากเจ้าค่ะ...ยายธี

ขอบคุณมากครับ คุณ N(W) ;)...

ส้าธุ .... มาปลดปล่อยความอยากจากใจค่ะ

เอ้อ !!!! ว่าแต่ ยังไม่อยากเป็นป้านะ ^_,^

สงสัยจะหนีไม่พ้นครับ ป้าหมอ ธิรัมภา ;)...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท