คนที่ประสบความสำเร็จ เขาเรียนรู้ต่างจากคนทั่วไปอย่างไร
วันนี้มีประสบการณ์ในการเรียนมาแบ่งปันและแลกเปลี่ยนกับท่านทั้งหลาย ปกติในการสอนบ้านเราไม่ว่าเป็นการเรียนการสอนในโรงเรียน มหาวิทยาลัย การฝึกอบรมในองค์กรต่างๆ ผู้สอนมักทำหน้าที่สอนตามบทบาทที่ได้เรียนรู้มา แต่ผู้สอนส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญกับการสร้างแรงจูงใจ (Motivation) สำหรับผู้เรียนก่อนที่จะทำการสอน แรงจูงใจได้แก่การพูดเพื่อให้ผู้เรียนกระตือรือร้นอยากเรียน อยากศึกษาเพิ่มเติมในสิ่งที่ผู้สอนจะทำการสอน
การสร้างแรงจูงใจนี้สำคัญอย่างไร แรงจูงใจเปรียบเสมือนสิ่งกระตุ้นที่จะทำให้คนเดินทางไปสู่ความสำเร็จ ถ้าปราศจากแรงกระตุ้นแล้ว นักฟุตบอลก็จะเล่นไปวันๆ ไม่สนใจซ้อม ไม่สนใจศึกษาคู่แข่ง ไม่สนใจพัฒนาตนเอง ในการสอนถ้าไม่มีการกระตุ้น ผู้เรียนส่วนใหญ่ก็เพียงนั่งเรียน รอเวลาว่าเมื่อไหร่จะหมดเวลาจะได้กลับบ้าน
แต่ถ้าผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เชื่อมโยงในสิ่งที่เรียนกับเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม ก็จะเป็นการกระตุ้นทำให้สนใจจะเรียนมากยิ่งขึ้น เช่นเชื่อมโยงการสอนชีววิทยากับการเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลการวิจัยในระดับโลก ทำให้เห็นภาพนักวิทยาศาสตร์กำลังเดินขึ้นเวลาไปรับรางวัลบนเวที มีคนจำนวนมากยืนปรบมือให้เกียรติอยู่ สิ่งเหล่านี้จะเป็นการกระตุ้นทำให้ผู้เรียนอยากเรียนมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นการเรียนอย่างมีเป้าหมาย (Learning with purpose) ซึ่งแตกต่างจากการเรียนเพื่อให้สอบผ่าน หรือการเรียนเพราะถูกบังคับมา
สำหรับผู้เรียนโดยทั่วไปที่ชอบเรียนรู้ด้วยตัวเอง ก็ต้องพยายามเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้กับเป้าหมายของตัวเอง เช่นเรียนคอมพิวเตอร์ก่อนเรียนต้องกำหนดเป้าหมายให้ได้ก่อนว่าเรียนไปเพื่ออะไร เรียนไปเพื่อไปเขียนโปรแกรมเกมส์ที่จะขายผ่าน App Store เพื่อขายให้คนทั้งโลก การเรียนครั้งนี้จะมีความมุ่งมั่นและชัดเจนมากยิ่งขึ้น เราเรียกการเรียนรู้แบบนี้ว่าเป็นการเรียนแบบ Imagine the outcome ที่คนที่ประสบความสำเร็จมักจะเลือกใช้ ฉนั้นคนเรียนประเภทนี้เขาจะมีวิธีเรียนที่แตกต่างจากคนทั่วไป เขาจะไม่อ่านหนังสือทุกหน้า แต่จะเลือกอ่านในส่วนที่เขาสนใจ และไปค้นคว้าเพิ่มเติมจนเก่งและลงมือทำ
เคล็ดลับเล็กน้อยนี้ ถ้าเอาไปลงมือทำก็สร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้นะครับ
ไม่มีความเห็น