กรณีศึกษาที่น่าสนใจ ....
Branding Dissent: Nitirat, Thailand′s Enlightened Jurists : บทบาททางการเมืองของกลุ่มนิติราษฎร์
ที่มา: ประชาไท ซึ่งมติชนฉบับ 26 มีนาคม 2558 นำมาเผยแพร่เรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
เก็บไว้ศึกษาบางตอน น่าจะเป็นประโยชน์ดังนี้
เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา วารสารวิชาการระดับนานาชาติชื่อ Journal of Contemporary Asia ไ
ด้เผยแพร่บทความวิชาการชื่อเรื่องว่า Branding Dissent: Nitirat, Thailand′s Enlightened Jurists
โดยมีผู้เขียนร่วมกันสองคน คนแรกคือ Duncan McCargo นักวิชาการชาวอังกฤษผู้มีผลงานศึกษาค้นคว้า
เกี่ยวกับการเมืองไทยมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี
ส่วนผู้เขียนอีกคนคือพีรเดช ตันเรืองพร นักวิจัยชาวไทย
บทความที่ว่านี้มุ่งศึกษาบทบาททางการเมืองของกลุ่มนิติราษฎร์ ซึ่งอย่างที่รู้กันดีว่ากลุ่มนิติราษฎร์
เป็นการรวมตัวของอาจารย์ด้านกฎหมายมหาชนในคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
ดังนั้นความน่าสนใจของบทความนี้ก็คงจะอยู่ที่แทนที่จะใช้มุมมองทางกฎหมาย
ผู้เขียนกลับเอามุมมองทางการเมืองมาใช้วิเคราะห์กลุ่มนิติราษฎร์
โดยศึกษาตั้งแต่การก่อตัว แนวทางเคลื่อนไหวลักษณะของกลุ่ม ไปจนถึงผลทางการเมือง
ที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของนิติราษฎร์ โดยผู้เขียนบทความได้เก็บข้อมูล
ทั้งจากเอกสาร การสัมภาษณ์ และการลงพื้นที่ภาคสนาม
ผมได้อ่านบทความนี้แล้วคิดว่ามีเนื้อหาน่าสนใจ เหมาะจะนำมาถ่ายทอดสู่สาธารณะเพื่อให้เป็นประเด็นขบคิดกัน
ในวงกว้างมากขึ้น จึงอยากขอหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสนี้
ผู้เขียนบทความมองว่า นิติราษฎร์ได้ก้าวไปไกลกว่าการเป็นปัญญาชนสาธารณะ (public intellectual)
อย่างที่คุ้นเคยกันจากบทบาทของคนอย่างนิธิ เอียวศรีวงศ์ ชัยอนันต์ สมุทวณิช หรือเกษียร เตชะพีระ
แต่นิติราษฎร์ได้ก้าวไปถึงขั้นเป็นคนมีชื่อเสียง (celebrity) ที่มีพลังมากพอจะดึงดูดคนมาฟังงานสัมมนาแต่ละครั้ง
ได้ล้นห้องประชุม นอกจากนี้ผู้เขียนยังชี้ว่าสถานะของสมาชิกกลุ่มนิติราษฎร์เอง ทั้งการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
จบการศึกษาจากต่างประเทศ แม้กระทั่งปัจจัยเรื่องรูปร่างหน้าตา ได้มีผลทำให้สถานะของแนวคิดเชิงต่อต้าน (dissent)
มีโอกาสเข้าถึงชนชั้นกลางในเมืองมากขึ้น ทั้งที่แนวคิดแบบเดียวกันนี้หลายอย่างก็มีการพูดถึงกันอยู่แล้วในกลุ่มเสื้อแดง
แต่เนื่องจากแกนนำเสื้อแดงมักมีบุคลิกท่าทีที่ดึงดูดคนชนบทมากกว่าคนในเมือง ทำให้แนวคิดเหล่านี้
มักถ่ายทอดไปไม่ถึงคนในเมืองเท่าไหร่นัก ทั้งนี้สมาชิกนิติราษฎร์เองบางคนยังยอมรับว่าทางกลุ่มตระหนักดี
ว่าต้องสร้าง "แบรนด์"บางอย่างขึ้นมาเพื่อให้คนจดจำ เห็นได้จากการมีเว็บไซต์ โลโก้ และของที่ระลึกต่างๆ
ซึ่งเรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่านิติราษฎร์ต่างจากปัญญาชนสาธารณะยุคก่อนๆ มากแค่ไหน
สำหรับเหตุการณ์ที่ทำให้นิติราษฎร์ขึ้นมาเป็นที่รู้จักของสังคมอย่างมากนั้น
ผู้เขียนบทความมองว่ามีอยู่สามเหตุการณ์ด้วยกัน
หนึ่งคือการจัดเสวนาเรื่องสถาบันกษัตริย์ในเดือน ธ.ค. ปี 53
สองคือการออกข้อเสนอลบล้างผลพวงรัฐประหารปี 49
และสามคือการร่วมเคลื่อนไหวในนามคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก. 112)
บทบาทของนิติราษฎร์ในทั้งสามกรณีทำให้ชื่อของนิติราษฎร์ปรากฏมากขึ้นในสื่อกระแสหลัก
เรียกทั้งเสียงเชียร์และเสียงด่าได้มากมายจากคนในสังคม
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนบทความก็มีคำวิจารณ์ต่อกลุ่มนิติราษฎร์อยู่ไม่น้อย ดังนี้
1.) กลุ่มนิติราษฎร์ยึดติดอยู่กับสถานะการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย สะท้อนภาพของการเป็นชนชั้นนำ
ความรู้คือสิ่งที่สร้างและถ่ายทอดจากบนลงล่าง สืบทอดวัฒนธรรมสูง-ต่ำแบบไทยๆ ต่อไป
2.) การเคลื่อนไหวของนิติราษฎร์บางครั้งสะท้อนความไร้เดียงสาทางการเมือง
ดูจากการที่นิติราษฎร์มักโยนข้อเสนอของกลุ่มออกมาโดยไม่ยอมปรึกษาหรือสร้างแนวร่วมกับใคร
ทำให้หลายครั้งข้อเสนอของกลุ่มไม่ได้รับการตอบรับหรือสานต่อเท่าที่ควร เห็นได้ชัดที่สุดคือกิจกรรมของ ครก.112
ที่แม้แต่คนที่อยากแก้กฎหมายเรื่องนี้บางคนก็ไม่ยอมเข้าร่วมหรือถ้าร่วมลงชื่อก็ไม่เต็มใจ
เพราะไม่เห็นด้วยที่นิติราษฎร์ยังเสนอให้มีโทษจำคุกอยู่ นอกจากนี้ยังมีกรณีการเคลื่อนไหวช่วงหลังๆ
ที่ไม่มีผลต่อสังคมมากเหมือนเมื่อก่อน เช่นการเสนอให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญ
หรือข้อเสนอเรื่องนิรโทษกรรม ซึ่งผู้เขียนบทความมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ทำได้ไม่ดีพอ
3.) ประเด็นความไร้เดียงสาทางการเมืองที่ว่านี้ ทางนิติราษฎร์เองอาจจะโต้ตอบว่าตนเป็นกลุ่มนักวิชาการด้านกฎหมาย
ไม่ใช่กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง ข้อเสนอของกลุ่มตั้งอยู่บนหลักวิชาการ จึงไม่จำเป็นจะต้องคำนึงถึงจังหวะ
หรือลูกไม้ทางการเมืองต่างๆ แต่อย่างใด ซึ่งในเรื่องนี้ ผู้เขียนบทความมองว่าเป็นจุดอ่อนอีกประการหนึ่ง
คือนิติราษฎร์ยังสับสนว่าบทบาทของตนคือการเคลื่อนไหวทางวิชาการหรือทางการเมืองกันแน่
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อเสนอแต่ละเรื่องของกลุ่มนั้นล้วนเกี่ยวพันกับประเด็นร้อนแรงทางการเมือง
การจะอ้างแต่หลักวิชาการโดยไม่สนใจบริบททางการเมืองเลยนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
4.) นิติราษฎร์ยืนยันว่าตนคือกลุ่มนักวิชาการและไม่ใช่กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง
ก็ยิ่งเป็นการช่วยผลิตซ้ำวาทกรรมของฝ่ายอนุรักษ์นิยมในไทยที่ได้ทำให้ "การเมือง"
เป็นเรื่องสกปรก น่ารังเกียจ ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว ในขณะที่ "วิชาการ" คือความสูงส่ง บริสุทธิ์ไม่มีผลประโยชน์
5.นิติราษฎร์เชื่อมั่นในกฎหมายมากเกินไป
คิดว่าปัญหาต่างๆ ในเมืองไทยล้วนสามารถแก้ไขได้โดยกฎหมาย เชื่อว่ากฎหมายที่เป็นไปตามหลักวิชาการ
ย่อมจะบรรเทาความขัดแย้งในสังคมลงได้ ข้อวิจารณ์ข้อนี้บ่งบอกได้ชัดเจนที่สุดถึงการปะทะกันระหว่างผู้เขียนบทความ
ซึ่งเป็นนักรัฐศาสตร์ กับกลุ่มนิติราษฎร์ซึ่งเป็นอาจารย์นิติศาสตร์ เพราะผู้เขียนบทความมองว่าปัญหาทางการเมืองย่อม
มีความสลับซับซ้อนและเกี่ยวพันกับผู้คนและปัจจัยต่างๆ มากมาย ปัญหาเหล่านี้ไม่สามารถแก้ได้
โดยหวังพึ่งแต่พลังของกฎหมายเพียงอย่างเดียว
บทความชิ้นนี้เป็นงานศึกษาบทบาททางการเมืองของนิติราษฎร์ชิ้นแรก
ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ นับว่าเป็นบทความวิชาการที่มีมุมมองแหลมคมมากชิ้นหนึ่ง
และน่าจะช่วยจุดประกายถกเถียงในสังคมไทยได้ไม่น้อย/จบ
........................................................................................................................................................................................ความเห็นส่วนตัวมองว่า มุมมองของนักวิจัยและนักวิชาการ 2 ท่านนี้
วิเคราะห์เนื้อหามีสาระดีแท้ ....ตรงไปตรงมา
ถือเป็นบทความ....ที่มีคุณค่าเหมือนมีชีวิตอยู่ในตัวอักษร
และยังสะท้อนข้อเท็จจริงและเรื่องราวของนักวิชาการกลุ่มหนึ่งที่ทำหน้าที่....สมเป็นนักวิชาการผู้กล้า
อีกทั้งสามารถเรียก....ศรัทธา คำว่า "ครูบาอาจารย์ของมหาลัยธรรมศาสตร์"
ที่คุกรุ่นด้วยร่องรอยประวัติศาสตร์ทางการเมืองมาโดยตลอด
ซี่ง "คนหนุ่มชั้นแนวหน้าของไทย" กลุ่มนี้
ได้ทำหน้าที่แสดงความคิดเห็นทางวิชาการต่อเหตุกาณ์บ้านเมืองอย่างแหลมคม
ขอขอบคุณมติชน(ที่มา: ประชาไท ) นำบทความนี้มาเผยแพร่
"ผู้เขียนบทความมองว่าปัญหาทางการเมืองย่อมมีความสลับซับซ้อนและเกี่ยวพัน
กับผู้คนและปัจจัยต่างๆ มากมายปัญหาเหล่านี้ไม่สามารถแก้ได้โดยหวังพึ่งแต่พลังของกฎหมายเพียงอย่างเดียว"
สุดท้ายโจทย์ข้อนี้คำตอบจะเป็นอย่างไร ....................
ก็ขอให้เราๆท่านๆ ....ช่วยกันใช้ปัญญา และสติ ค้นหาแนวทาง
ที่จะทำให้สังคมไทยสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข และมีความเจริญต่อไปทีเถอะ/ /เตือนใจ เจริญพงษ์
ไม่มีความเห็น