เมื่อพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว ( ตาย ) มีพิธีเผ่าสรีระ( ร่างกายพระพุทธเจ้า ) แต่ไฟไม่ไหม้ จนพระมหากัสสะปะเดินทางมาถึงเดินเวียนขวา 3 รอบพระศพของพระพุทธเจ้าแล้วอธิษฐานว่า กระดูกส่วนใดจะให้ข้านำไปภูกำพร้าขอให้มาอยู่ในฝ่ามือเถิด พอสิ้นคำก็มีพระอุรังคะธาตุ ( กระดูกหัวอก ) ลอยออกมาอยู่ในฝ่ามือ ต่อจากนั้นไฟธาตุบังเกิดขึ้นเองไหม้ร่างกายของพระพุทธเจ้าจนเหลือแต่พระธาตุ ( กระดูกและเถ้าถ่าน ) เมื่อแจกจ่ายพระธาตุส่วนที่เหลือแล้ว พระมหากัสสะปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ก็เหาะมาลงที่ดอยแท่น ( ปัจจุบันคือภูเพ็ก อ. พรรณนานิคม จ. สกลนคร ) ครั้นรุ่งเช้าก็เข้าไปบิณฑบาตในเมืองหนองหานหลวง เพื่อแจ้งข่าวการนิพพานของพระพุทธเจ้าให้เจ้าเมืองทราบ
ฝ่ายพญาสุวรรณภิงคารได้ทราบแล้วหวังว่าตนคงได้รับส่วนแบ่งพระธาตุบ้างจึงสั่งให้ลูกชายไปสร้างเจดีย์ไว้ที่ภูเพ็ก ส่วนลูกสาวชื่อนางนารายณ์เจงเวงเป็นหัวหน้าสร้างพระเจดีย์ไว้ที่สวนอุทธยาน ( ปัจจุบันคือพระธาตุนางเวง อยู่ห่างจากเมืองสกลนครไป 6 กิโลเมตร
การสร้างองค์เจดีย์นั้น พญาสุวรรณภิงคารให้ทำสัญญาว่าใครสร้างเสร็จก่อนจะได้พระธาตุไปบรรจุไว้ ผลปรากฏว่าฝ่ายหญิงทำสำเร็จก่อนด้วยอิตถีมายา เจดีย์ฝ่ายชายยังไม่สำเร็จมาจนเท่าทุกวันนี้
ต่อมาเมื่อพระมหากัสสะปะออกมาเดินบิณฑบาต พญาสุวรรณภิงคารได้รู้ว่าพระธาตุมีอยู่ในพระมหากัสสะปะแล้วจึงทูลขอ แต่พระท่านแจ้งว่า ที่นี่ไม่ใช่ภูกำพร้าถ้าจะมอบให้ก็ผิดคำสั่งของพระพุทธองค์ จึงบอกพระอรหันต์เหาะไปเอาเถ้าถ่านมาเพื่อบำรุงศรัทธาในพระพุทธศาสนาของพญาสุวรรณภิงคารแล้วพระอรหันต์กลับมาพร้อมเถ้าถ่านและมอบให้อยู่ในพระธาตุนางเวง
ฝ่ายเจ้าเมืองต่าง ๆ ก็ได้เข้ามาร่วมพิธีอัญเชิญกระดูกของพระพุทธเจ้าเดินทางจากเมืองหนองหานหลวงมายังภูกำพร้า
โดยมีพญานันทเสนเจ้าเมืองศรีโคตรบูรมาจัดสถานที่ไว้รอคอยขบวนแห่อัญเชิญพระอุรังคธาตุจะมาถึงภูกำพร้า ฝ่ายพญาจุลณีพรหมทัตและพญาอินทปัตถนคร สั่งกำลังพลของตนสกัดหินทรายไว้เป็นอุปกรณ์การสร้างพระธาตุ
ฝ่ายพญาคำแดงน้องชายพญาสุวรรณภิงคารก็เข้ามาสมทบกับขบวนแห่ของพี่ชาย โดยมีพราหมณ์ทั้ง 8 คนเป็นผู้อัญเชิญพระอุรังคธาตุพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 รูปโดยมีพระมหากัสสะปะเป็นประธานนั้นแล
คำว่า ปะนม มาจากอะไรครับ ผมคงไม่ถามยากนะครับ