หลักความเชื่อต่อสิ่งที่ได้ยินได้เห็น
ถวิลอรัญเวศ
รอง ผอ.สพป. นครราชสีมา เขต 4
เกริ่นนำ
สื่อสารมวลชนจากหนังสือพิมพ์ ตลอดทั้งสื่อสังคมออนไลน์ มีอิทธิพลต่อชีวิตและจิตใจของเรามากในขณะนี้ ถ้าเราเพียงแต่สักว่าได้ยิน ได้ฟัง หรือได้อ่านจากสื่อแล้วเชื่อตาม ย่อมอันตรายมากครับ เพราะฉะนั้น ในทางพุทธศาสนาสอนไว้ว่า เราจะเชื่ออะไรก็ตาม ย่อมประกอบด้วยปัญญา ในหลักธรรมที่ว่าด้วยศรัทธา ความเชื่อ มักจะกำกับไว้ด้วยปัญญา ไม่เช่นนั้น จะถือว่าเชื่องมงาย หรือกระต่ายตื่นตูม ไม่ใช่วิถีทางความเชื่อตามหลักพุทธศาสนา
แล้วจะเชื่ออย่างไรดี
หลักธรรมในพระพุทธศาสนานี้พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาว
กาลามะ ที่อาศัยอยู่ในเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล เนื่องจากในสมัยนั้นมีผู้อวดอ้างตนในคุณวิเศษกันมาก เชิดชูแต่ลัทธิของตัว พูดจากระทบกระเทียบดูหมิ่นลัทธิอื่น พร้อมทั้งชักจูงมิให้เชื่อ ลัทธิอื่น เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จถึงเกสปุตตนิคมดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้อวดอ้าง
ชาวกาลามะได้ทูลถามด้วยความสงสัยว่าใครพูดจริง ? ใครพูดเท็จ ?
พระพุทธองค์จึงทรงแสดงกาลามสูตร ว่าด้วยวิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนสงสัย
หรือหลักความเชื่อ 10 ประการเป็นหลักตัดสินให้ไว้ ได้แก่
1. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ เพราะเพียงแต่ฟังตามๆกันมา
2. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ เพราะถือสืบ ๆ กันมา
3. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ เพราะเพียงคำเล่าลือ
4. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ เพราะเพียงอ้างว่ามีในตำราหรือคัมภีร์
5. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ เพราะเข้าหลักตรรกศาสตร์
6. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ เพราะเพียงการอนุมานเอา
7. อย่าเพิ่งลงใจเชื่อ เพราะเพียงคิดตรองตามแนวเหตุผล
8. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน
9. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นว่าคนพูดคนเขียนน่าเชื่อถือ
10. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา
แต่เมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่าธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่าธรรมเหล่านั้นเป็นกุศล หรือไม่มีโทษเมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ ดังนั้น
พระสูตรนี้ท่านมิได้ห้ามมิให้เชื่อ แต่ให้เชื่อด้วยมีปัญญาประกอบด้วย มิฉะนั้น ความเชื่อต่างๆ จะไม่พ้น "ความงมงาย"และไม่พึงแปลความเลยเถิดไป ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อสิ่งเหล่านี้ และให้เชื่อสิ่งอื่นนอกจากนี้ แต่พึงเข้าใจว่า แม้แต่สิ่งเหล่านี้ซึ่งบางอย่างก็เลือกเอามาแล้วว่าเป็นสิ่งที่น่าเชื่อที่สุด ท่านก็ยังเตือนไม่ให้ปลงใจเชื่อ ไม่ให้ด่วนเชื่อ ไม่ให้ถือเป็นเครื่องตัดสินเด็ดขาดยังอาจผิดพลาดได้ ต้องใช้ปัญญาคิดพิจารณาให้ดีก่อนแล้วสิ่งอื่น คนอื่นเราจะต้องคิดต้องพิจารณาระมัดระวังให้มากสักเพียงไหน
สรุป
ก่อนจะเชื่อ สิ่งใด ให้พิสูจน์
ก่อนจะพูด ให้ยั้งคิด วินิจฉัย
ก่อนจะทำ กิจการ งานใดใด
คิดให้ถ้วนถี่ จึงจะดีเอย
เอกสารอ้างอิง
สุชีพ ปุญญานุภาพ (มปป.) "พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน.
ย่อความจากพระไตรปิฎก
ฉบับบาลี
45 เล่ม
ไม่มีความเห็น