ความสุขแห่งชีวิต



นิยามความสุขของแต่ละคนแตกต่างกันไป
ตามแต่ความคิด ความรู้ ประสบการณ์ และความศรัทธา
การได้เอกเขนกอยู่บ้านกับหนังสือเป็นความสุขเล็กๆของหนอน
เพียงเท่านี้ก็เป็นสุขแล้ว
เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
.
หนังสือ “ความสุขแห่งชีวิต” อีกเล่มที่ตามหามานาน
ด้วยว่าฉบับที่พิมพ์ไปนั้นขาดตลาดไปนานมากแล้ว
ตามหาตามร้านมือสองก็ไม่ได้
จนกระทั่งมูลนิธิหนังสือเพื่อสังคมได้นำมาแปลใหม่และพิมพ์ใหม่
จึงได้มีโอกาสอ่านซะที
หนังสือได้สื่อความหมายคุณค่าของการมีอยู่ของชีวิต
มิใช่เพราะรวยหรือจน
และความตายที่มิอาจรู้ว่ามาถึงเมื่อไร
ไม่ว่ารวยหรือจน เด็ก หนุ่มสาว หรือแก่ชรา ก็มิอาจพ้น
เพียงแค่เรารับรู้ว่าความตายได้มาเยือนครอบครัวใครๆ เราก็รู้สึกหดหู่เศร้าใจยิ่งนัก
แล้วถ้าความตายนั้นมันมาเยือนคนในครอบครัว หรือคนที่เรารักที่สุด อย่างไม่คาดคิดล่ะ
เราจะรับมือกับมันอย่างไร
และหากเราเป็นคนแรกที่รู้ข่าวแห่งความตายนั้น
เราจะมีวิธีบอกคนในครอบครัวเราอย่างไร
แล้วความตายมันคือจุดสิ้นสุดของชีวิต
หรือเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต
อ่านหนังสือ
อ่านชีวิต


...........................
"จำไว้นะลูก" แม่พูด "จงให้เสมอ ให้ทุกอย่างที่ลูกมี แม้ต้องทำไปอย่างโง่ๆ ลูกต้องให้อย่างไม่ยั้ง ลูกต้องให้แก่ทุกคนที่ผ่านมาในชีวิต แล้วจะไม่มีอะไรหรือใครสามารถมีอำนาจมาหลอกลูกได้ เพราะถ้าลูกให้แก่ขโมย เขาก็จะขโมยจากลุกไม่ได้ แล้วเขาก็จะไม่ได้เป็นขโมยอีกต่อไป และยิ่งลูกให้มากเท่าไร ก็ยิ่งต้องให้มากขึ้นเท่านั้น"
.
"...ไม่ว่าลูกศิษย์ครูจะรวยหรือจน นับถือคาทอลิก หรือโปรเตสแตนท์ หรือยิว ไม่ว่าจะผิวขาวหรือดำหรือเหลือง จะเฉลียวฉลาดหรือปัญญาทึบ จะเป็นอัจฉริยะหรือเด็กธรรมดา ล้วนไม่สำคัญสำหรับครู ถ้ามีความเป็นมนุษย์อยู่ในตัวเขา - ถ้าเขามีหัวใจ - ถ้าเขารักความจริงและรักเกียรติ - ถ้าเขานับถือผู้ที่ด้อยกว่าและรักผู้ที่เหนือกว่า ถ้าเด็กๆในชั้นของครูเป็นมนุษย์ ครูก็ไม่ต้องการให้พวกเขาเหมือนกันในลักษณะท่าทางของการเป็นมนุษย์ ถ้าพวกเขาไม่ทุจริตเลวทรามแล้วล่ะก็ พวกเขาจะต่างกันขนาดไหนก็ไม่สำคัญสำหรับครู..."
.
"ไม่มีใครบอกลูกได้ ทุกคนจะพบด้วยวิธีของตน ถ้ามันจะเศร้า ดีงาม หรือโง่เขลา คนก็เป็นผู้ที่ทำให้มันเป็นอย่างน้ันเอง ถ้ามันโศกเศร้าล้ำลึก หรือเปี่ยมด้วยความงดงาม มันก็คือตัวของคนคนนั้นเอง ไม่ใช่สิ่งที่อยู่รอบตัวเขา ทำนองเดียวกัน ถ้ามันเลว หรือน่าเกลียด หรือน่าสมเพช มันก็มักเป็นตัวคนคนนั้นเอง"
.
"มันคือความสงสารที่ทำให้ลูกร้องไห้" เธอกล่าว
"สงสาร ไม่ใช่สงสารคนนี้หรือคนนั้นที่กำลังทนทุกข์ แต่สงสารทุกสิ่งทุกอย่าง สงสารในแก่นที่แท้ของสรรพสิ่ง คนเราถ้าไม่มีความสงสาร เขาจะโหดร้ายป่าเถื่อน และยังไม่ใช่คนที่แท้จริง เพราะความสงสารนั้นเอง เราจะสกัดเอาน้ำมันหอมที่ให้การเยียวยาออกมาได้ จึงมีแต่คนดีเท่านั้นที่ร่ำไห้กับความเจ็บปวดของโลก เขาจะต่ำกว่าธุลีดินที่เขาย่ำผ่านไป เม็ดดินบำรุงเลี้ยงเมล็ดพืช ราก ก้าน ใบ และดอก แต่จิตของคนที่ปราศจากความสงสารจะแห้งแล้ง และไม่ก่อเกิดผลอันใดเลย หรือจะมีแต่ความโอหังซึ่งท้ายที่สุดก็ต้องฆ่าไม่สิ่งใดก็สิ่งหนึ่ง ฆ่าสิ่งดีๆ หรือแม้กระทั่งชีวิตมนุษย์ด้วยกัน"
.
"ฉันไม่พยายามจะปลอบเธอ" สแปงเกลอร์กล่าว
"ฉันรู้ว่าฉันทำไม่ได้ แต่พยายามจำไว้เถอะว่า คนดีไม่มีวันตาย เธอจะได้เห็นเขาอีกหลายครั้ง เธอจะเห็นเขาตามถนนหนทาง ตามบ้านเรือน ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในเมือง ในไร่องุ่น และสวนผลไม้ ทั้งในแม่น้ำและเมฆหมอก ในทุกอย่างที่นี่ ซึ่งสร้างเป็นโลกให้เราอยู่นี้ เธอจะสัมผัสเขาได้ในทุกอย่างที่นี่ ซึ่งเกิดจากความรัก และเพื่อความรัก ทุกอย่างที่อุดมสมบูรณ์ ทุกอย่างที่ีเติบโต กายของคนอาจจะจากไป หรือถูกเอาตัวไป แต่ส่วนที่ดีที่สุดของคนดีจะคงอยู่ มันจะอยู่ไปชั่วนิรันดร์ ความรักเป็นอมตะ และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอมตะ แต่ความเกลียดตายไปทุกนาที"
...................................................
ความสุขแห่งชีวิต
The Human Comedy
William Saroyan, เขียน
วิภาดา กิตติโกวิท, แปล
มูลนิธิหนังสือเพื่อสังคม, จัดพิมพ์

หมายเลขบันทึก: 581415เขียนเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2014 10:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2014 10:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เล่มนี้ยังไม่เคยอ่าน จะไปหามาอ่าน

เล่มอื่นๆ พี่อ่านแล้วค่ะ

ขอบคุณมากๆ ค่ะที่แนะนำหนังสือน่าอ่าน

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท