กินอาหารเป็นยา: กินอะไร? กินอย่างไร?


การกินอาหารเป็นยา ตามความเข้าใจของผม หมายถึง การรับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามิน เกลือแร่ เอ็นไซม์ ฯลฯ จากผลผลิตพืชและสัตว์ เพื่อ 

ก) บำรุงหล่อเลี้ยงและซ่อมแซมร่างกายให้แข็งแรง ไม่ "เสื่อม" เร็ว (ชะลอความแก่)

ข) บรรเทาอาการของโรคที่เป็นอยู่ให้เบาบางลง

ค) กำจัดโรคที่เป็นอยู่ให้หายไป

ง) ป้องกันไม่ให้โรคที่หายแล้วกลับเป็นขึ้นมาใหม่

จ) ป้องกันไม่ให้โรคที่เป็นมาก รักษายาก โดยเฉพาะโรคที่คุกคามชีวิต เช่น หัวใจ ตับ ไต มะเร็ง เบาหวาน ฯลฯ ไม่ดำเนินไปในทางที่เลวร้ายมากยิ่งขึ้น

อาหารอะไรที่เป็นยา?

อาหารที่ปราศจากสารพิษ (อาหารอินทรีย์)

พืชผักที่มนุษย์กินเป็นอาหารโดยทั่วไปมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายด้านใดด้านหนึ่ง หรือหลายด้านอยู่แล้ว พืชผักบางชนิดเป็น "ยา" โดยตรง ที่เรียกว่า สมุนไพร 

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับท่านชีวกโกมารภัทร ปรมาจารย์ด้านการแพทย์สมัยครั้งพุทธกาล ว่าสมัยที่ท่านยังเรียนวิชาแพทย์อยู่นั้น อาจารย์ให้เข้าป่าไปหาพืชที่ไม่ใช่สมุนไพร ท่านไปแล้วกลับมาบอกอาจารย์ว่า หาไม่ได้เลย สรุปว่าพืชทุกชนิดเป็นยาได้หมด เราจะสรุปได้ไหมว่า พืชผักทุกชนิดที่เรากินล้วนเป็น "ยา"

โดยนัยนี้ เราจะกล่าวได้หรือไม่ว่า อาหารจากพืชทุกชนิดจึงใช้ "แทนยา" ได้? ทั้งยาบำรุงร่างกาย ป้องกันโรค และรักษาโรค

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ พืชผักที่เราใช้เป็นอาหารส่วนใหญ่ปลูกโดยใช้สารเคมีที่เป็นพิษ อาหาร(รวมทั้งสมุนไพร)จึงกลายเป็น "ยาพิษ" ที่เป็นภาระให้ตับไตไส้พุงเราทำงานอย่างหนักในการขับพิษเหล่านั้นวันแล้ววันเล่าจนอ่อนล้ากระทั่งเสียหาย (ตับวาย ไตวาย ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ฯลฯ)  เมื่อเกินกำลังของอวัยวะเหล่านั้นที่จะขับออกมาได้ก็ตกค้างสะสมไว้ในร่างกาย เหมือนระเบิดเวลาที่รอการระเบิด  หลายปีเข้าก็ระเบิดออกมาเป็นโรคร้ายต่างๆ 

อาหารทั่วไปในปัจจุบันทั้งพืชและสัตว์ มักใช้เคมีมาก ทั้งปุ๋ย ทั้งสารกำจัดศัตรูพืช สารเร่งการเจริญเติบโต (ไก่ในธรรมชาติหลายเดือนกว่าจะโต เดี๋ยวนี้แค่เดือนสองเดือนก็โตเต็มที่พร้อมให้คนกิน) ยาปฏิชีวนะ ยากันบูดกันเน่า รวมทั้งอาหารแปรรูปโดยอุตสาหกรรมอาหารทั้งหลาย (ที่มักใส่ส่วนประกอบหวาน มัน เค็มมาก) 

อาหารทุกวันนี้จึงเป็นต้นเหตุหนึ่งของโรคภัยไข้เจ็บของเรา คนปัจจุบันเป็นโรคมะเร็ง ความดัน หัวใจ หลอดเลือด เบาหวาน โรคข้อ ภูมิแพ้ ฯลฯ

คนจำนวนมากเริ่มตระหนักแล้วว่า อาหารบนโต๊ะแต่ละมื้อทุกวันนี้ ได้กลายเป็น "ภัยคุกคามต่อสุขภาพ" ของเรา

แม้จะตระหนัก แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงจาอาหารที่ปนเปื้นสารเคมีที่เป็นพิษเหล่านั้นได้

ทางออกที่พอเป็นไปได้ในขณะนี้คือ 

ก) เสาะหาแหล่งผลิตหรือแหล่งจำหน่ายพืชผลอินทรีย์

ที่ขณะนี้เกิดขึ้นทั่วไปแทบทุกจังหวัด ให้พอจะเดินทางไปซื้อได้ อาจสัปดาห์ละครั้งก็ได้ เดี๋ยวนี้เริ่มมีการ "ผูกปิ่นโต" (การจับคู่ หรือ "แต่งงาน" หรือจับกลุ่มระหว่างผู้บริโภคกับผู้ผลิตพืชผลอินทรีย์) 

ในกรณีที่หาที่เป็นอินทรีย์ไม่ได้จริงๆ ก็เลือก "ผักปลอดสาร" ก็ยังดี 

"ผักปลอดสาร" กับ "ผักอินทรีย์"  นั้นต่างกัน

ผักปลอดสาร หมายถึง พืชผักที่ปลูกโดยใช้สารเคมี แต่หยุดใช้ก่อนเก็บเกี่ยวตามจำนวนวันที่ผู้ผลิตสารเคมีระบุ 

ผักอินทรีย์ หมายถึง ผักที่ไม่ใช้สารเคมีในทุกขั้นตอนของกระบวนการเพาะปลูก

ข) ปลูกกินเองเท่าที่จะทำได้ ช่วยให้ลดการซื้อผักที่มักมีสารเคมีจากตลาดลง  แม้แต่คนอยู่ในเมือง อยู่ห้องเช่าก็สามารถปลูกในกระถางบนดาดฟ้า หรือแขวนหน้าต่าง หรือเกาะผนัง (สวนผักคนเมือง)

ค) เลือกกิน เช่น ผักพื้นบ้านและผักป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ มักปราศจากสารพิษ

กินอย่างไรจึงเป็นยา?

ที่ทราบๆ กันอยู่แล้วคือกินให้ครบหมู่ แต่ควรรู้เพิ่มเติมดังนี้  

- กินผักผลไม้ให้ได้ครึ่งหนึ่งของอาหารในแต่ละวัน รวมทั้งกินพืชผักและผลไม้สดด้วย 

- ผลไม้บางชนิดควร "ปอกแล้วกินทันที" ทิ้งไว้หรือแช่ตู้เย็นไว้นานๆ อาจเหลือแต่รสชาติ แต่วิตามินลดต่ำลงจากการทำปฏิกิริยากับอ็อกซิเจนในอากาศ

 - ไม่ควรกินแต่อาหารปรุงสุกด้วยความร้อนอย่างเดียว เนื่องจากเอนไซม์และวิตามินหลายชนิด ถูกทำลายด้วยความร้อนสูงจากการปรุง ทำให้ไม่ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างเต็มที่

- พืชผักที่ปรุงให้สุกก่อนกิน ควรปรุงด้วยความร้อนต่ำๆ แต่ปรุงนานๆ แทนการใช้ความร้อนสูงเพื่อให้สุกเร็ว  (จึงพึงหลีกเลี่ยงพวก "ไฟแดง" ทั้งหลาย)

- อาหารที่ปรุงสุกแล้วควรกินให้หมดทันที จะได้สารอาหารเต็มที่ ไม่ควรเก็บไว้นาน หรือแช่ตู้เย็นไว้หลายวันซึ่งสารอาหารเสื่อมลงไปเรื่อยๆ 

เนื่องจากการเลือกกินอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตแบบธรรมชาติ(อินทรีย์) และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารพิษเจือปน  สำหรับชีวิตปัจจุบันไม่อาจทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์  จึงยังต้องกินอาหารที่มีพิษอยู่ เช่น พืชผักหรือเนื้อสัตว์ที่ซื้อจากตลาด  อาหารภัตตาคารหรือร้านอาหารทั่วไป งานเลี้ยงทั่วไป อาหารจากอุตสาหกรรมอาหาร อาหารกล่อง อาหารซอง เครื่องดื่มบรรจุขวด รวมทั้งยากิน ยาฉีด จาก รพ. (ที่มุ่งบรรเทาหรือขจัดอาการหรือโรคเฉพาะที่ และมีผลข้างเคียงต่อร่างกาย) การหมั่นขจัดพิษที่สะสมจากอาหารและยาเหล่านี้ออกจากร่างกายจึงเป็นสิ่งที่ควรทำควบคู่กันไปด้วย

ผมจะเขียนเรื่องวิธีขจัดพิษในโอกาสต่อไป

สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์

๑๕ ต.ค.๒๕๕๗

หมายเลขบันทึก: 578862เขียนเมื่อ 15 ตุลาคม 2014 20:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 ตุลาคม 2014 11:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท