ดูละครแล้วย้อนนึกเรื่องการเรียนภาษาต่างประเทศ


ผมมีบาปมาสารภาพครับ เรื่องมีอยู่ว่าสัปดาห์กว่าๆ ที่ผ่านมานี้ผมไม่ทำงานทำการ ไม่ทำอะไรทั้งนั้น เพราะติดละครไต้หวันเรื่อง "Inborn Pair" ที่เผลอเปิดดูแล้วก็ดูไม่หยุดมาราธอน 84 ตอนพึ่งมาดูจบเอาเมื่อวานนี่เอง

ช่วงก่อนหน้านี้ผมกำลังวิเคราะห์เว็บต่างๆ ที่ใช้กลไก collaborative writing หรือการให้สมาชิกเขียนร่วมกันแล้วหลุดมาเจอเว็บ Viki.com ที่เขาเอาละครประเทศต่างๆ มาฉายออนไลน์โดยให้สมาชิกช่วยกันเขียน subtitle ของบทสนทนาในละครนั้นๆ เป็นภาษาต่างๆ ปรากฎว่าเว็บนี้ประสบความสำเร็จไม่เลวทีเดียว ได้ subtitles ภาษาต่างๆ มากมายและทำให้ละครประเทศต่างๆ เกิดโด่งดังข้ามประเทศกันไปกันมามากมาย

ผมเปิดดู Inborn Pair เล่นๆ เพื่อจะเอาความรู้ ดูไปดูมารู้ตัวอีกทีก็ต้องดูจนถึงตอนจบ เสียผู้เสียคนติดละครไปเรียบร้อย

ละครเรื่องนี้สนุกเพราะผมฟังภาษาจีนไต้หวันออกบ้างเป็นคำๆ เพราะสมัยเรียนที่อเมริกาผมเช่าห้องอยู่กับเพื่อนไต้หวันปีกว่าๆ โดยไม่ได้อยู่แบบต่างคนต่างอยู่เหมือนคนที่เช่าห้องอยู่กับชาวต่างชาติโดยปกติ เพราะบังเอิญผมกับเพื่อนมีลูกบ้าพอกันเลยอยู่กันไปในแนวมั่วสุม แล้วผมก็พลอยเนียนกินอยู่ไปกับกลุ่มเพื่อนของเพื่อนจนหูกระดิกเวลาได้ยินภาษาจีนไต้หวัน ดูละครแล้วได้นึกถึงความหลังเก่าๆ ก็กลายเป็นสนุกจนปิดไม่ได้

ผมดู Inborn Pair โดยเปิด subtitles ภาษาอังกฤษเพราะภาษาไทยมีคนแปลแค่นิดเดียว

ภาษาอังกฤษนั้นสำหรับผมไม่ใช่ประเด็นเพราะผมทำมาหากินกับภาษาอังกฤษอยู่แล้ว แต่ที่น่าคิดคือผมดูจนจบแล้วผมได้ภาษาจีนเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคำนี่สิ ทำให้ผมเริ่มคิดเรื่องการเรียนภาษาต่างประเทศของคนไทย

ภาษานั้นเป็นศิลป์ไม่ใช่เป็นศาสตร์ ผมคิดว่าการเรียนภาษาที่สอง (และสามสี่ห้า ฯลฯ) ของมนุษย์นั้นควรจะเรียนให้สอดคล้องกับหน้าที่ของภาษา นั่นคือการใช้ในการสื่อสาร ไม่ใช่เรียนอย่างเรียนวิชาคณิตศาสตร์

ประเทศไทยเลือกสอนภาษาอังกฤษในชั้นเรียนตั้งแต่ประถมหนึ่งมาแล้วหลายสิบรุ่น คนไทยโดยส่วนใหญ่ที่จบปริญญาตรีเรียนภาษาอังกฤษมาเป็นสิบปีกันทั้งนั้น แต่มีคนไทยน้อยมากที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้จริง ปัญหานี้เป็นเรื่องที่เรารู้กันอยู่ทุกคนแต่ผมก็ยังไม่เห็นใครสร้างการเปลี่ยนแปลงในการเรียนภาษาอังกฤษที่ให้ได้ผลจริงเกิดขึ้นในประเทศไทยได้สักราย

ยิ่งตอนนี้สมัยนี้ที่ชีวิตการเรียนของเด็กอยู่ที่การสอบแข่งขันแล้ว เรียนภาษาเพื่อใช้งานได้จริงกลับกลายเป็นว่ามีความสำคัญน้อยกว่าการเรียนเพื่อให้สอบได้

แต่การสื่อสารในโลกนี้เปลี่ยนไปมากแล้ว คนที่อยู่ข้ามโลกสามารถติดต่อสื่อสารกันเหมือนนั่งอยู่ข้างๆ กันได้ทุกที่ทุกเวลา เรามีสื่อที่จะช่วยในการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศเพื่อให้สามารถสื่อสารได้เยอะแยะมากมาย แต่จะใช้สื่อเหล่านั้นได้เราต้องคิดนอกกรอบ

อย่าง Viki.com นี่ควรเอามาใช้เรียนภาษาต่างประเทศ ให้เด็กดูละครไปสนุกไป เดี๋ยวก็ได้ภาษามาเอง

YouTube นี่ยิ่งแล้วใหญ่ เป็นขุมทรัพย์มหาศาลสำหรับการเรียนภาษา มีวิดีโอสนุกๆ มากมาย เด็กไทยทุกคนควรจะได้ดูวิดีโอช่อง nigahira, KevJumba, communitychannel, theDOMINICshow, ฯลฯ ช่องพวกนี้ตลกขำขันไม่มีสาระ แต่ถ้าดูรู้เรื่องเมื่อไหร่การฟังภาษาอังกฤษผ่านตลอดแน่นอน

การ์ตูนญี่ปุ่น (manga) ที่ฝรั่งเอามาแปลเป็นภาษาอังกฤษนั่นก็ให้เด็กอ่านไปเลย การ์ตูนสนุกก็อยากอ่านให้รู้เรื่อง อ่านแล้ววางไม่ลงรู้ตัวอีกทีก็ได้ภาษาอังกฤษแล้ว ผมเองอ่าน manga ด้วยโปรแกรม MangaRock ที่มีทั้งบน Android และ iOS อ่านทีก็เสียงานเสียการเหมือนกัน

การเรียนภาษาต้องสนุก ต้องมีความสุขที่จะเรียน ปัจจุบันเรามีเครื่องมือออนไลน์ที่จะช่วยทำให้การเรียนการสอนเป็นเช่นนั้นได้มากมาย ปัญหาอยู่ที่ระบบการศึกษาของเราจะพร้อมใช้เครื่องมือเหล่านั้นเมื่อไหร่? ใช่ไหมครับ?

หมายเลขบันทึก: 571829เขียนเมื่อ 6 กรกฎาคม 2014 13:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กรกฎาคม 2014 14:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

อาจารย์ติดละคร น้ำไม่เน่า

ดีจังเลยนะครับ

เจอความสุข ที่อาจารย์พูดถึง..

การสอนอ่านเขียนภาษาไทยระดับเริ่มต้นที่จะทำให้อ่านออกเขียนได้ก็น่าเป็นห่วงไม่น้อยนะคะอาจารย์ 

สื่อภาพยนต์ วีดิโอ หรือที่มาทางออนไลน์ ที่ช่วยการเรียนภาษา รวมทั้งวิชาด้านอื่น ๆสำหรับนักเรียนหรือครูก็ดีมีมากมายมหาศาล น่าจะมีคนหรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่ติดตาม รีวิว และแนะนำให้ใช้ นอกเหนือจากที่แต่ละบุคคลจะพบโดยบังเอิญ จะช่วยได้มากค่ะ 

วันนี้ลูกชายเพิ่งบอกแม่ว่า โตขึ้นอยากมีโรงเรียนสอนเด็กไทยที่อยู่ไกลปืนเที่ยงประเภทขาดแคลนทั้งทุนทรัพย์และขาดโอกาส โดยเขาจะให้ครูและตัวเขาเองสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษหรือภาษาอะไรก็ได้ที่มีคนพูดได้มาช่วย แต่ต้องเป็นโรงเรียนที่สอนแบบนี้ตั้งแต่เล็กมาก ๆ เจ้าตัวบอกว่า ถ้าแม่(หมายถึงพี่)พูดภาษาที่พูดได้กับเขาตั้งแต่แรกเกิด กี่ภาษาก็ตามแต่ เขาจะได้ไปแบบธรรมชาติทุกภาษา...

มาอ่านเจอบันทึกนี้พอดีเลยเล่าสู่กันฟังค่ะ

กด LIKE ให้อาจารย์หลาย ๆ ครั้งค่ะ

เห็นด้วยกับอาจารย์เป็นอย่างยิ่งค่ะว่าภาษาเป็นเรื่องของทักษะการสื่อสาร ไม่ใช่เรื่องตรรกะ ต้องใช้ทั้งฟัง พูด อ่าน และเขียนจึงจะเก่ง การติดละคร ติดหนัง ติดข่าวและฟังจาก soundtrack เจ้าของภาษา นับว่าเป็นความเพลิดเพลินและเรียนภาษาที่ดีที่สุด เพราะเมื่อเกิดความสนุกจึงชอบและทำบ่อย ๆ จนเกิดทักษะขึ้นโดยไม่รู้ตัว  

เช่นเดียวกับอาจารย์ค่ะ เคยติดละครน้ำเน่าภาคกลางวันอย่างงอมแงมถึง 3 เรื่องคือ General Hospital, Guiding Light และ As the World Turns ซึ่งเป็น soap opera ที่โด่งดังและมีความยาวเรื่องละหลาย ๆ สิบปี ผู้เล่นตายและเปลี่ยนตัวใหม่ในทุกเรื่อง คนก็ยังติดกันงอมอยู่ โดยเฉพาะผู้หญิงแม่บ้านทั้งหลาย

ขอบคุณอาจารย์ที่หยิบยกเรื่องนี้และให้คำแนะนำที่เป็นรูปธรรมที่สุดค่ะ

ขอบคุณครับคุณแสงฯ ละครที่ผมพึ่งดูจบไปเป็น romantic comedy ตลกแบบไม่คิดอะไรมากครับ

อย่างที่พี่หมอเล็กบอกนั้นถูกแล้วครับ นึกถึงพวกอินเดียที่ไปเรียนต่างประเทศแล้วภาษาดีกว่าพวกเรามากเพราะเขาต้องใช้ภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กในการเรียนวิชาอื่นๆ นอกจากวิชาภาษาอังกฤษครับ

ผมเห็นด้วยกับความเห็นของอาจารย์ GD มากเลยครับ จริงๆ แล้วตอนนี้พวกเราก็ทำโครงการ "Wonkdy Academy" (หวังดี อคาเดมี) จะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ครับ เป็นระบบคอมพิวเตอร์เพื่ออำนวยความสะดวกให้ชุมชนครูสามารถช่วยกันแบ่งปันเนื้อหาที่จะใช้ในการสอนได้สะดวกขึ้นครับ (กึ่งๆ Wikipedia ครับ)

ขอบคุณครับคุณกุหลาบ เพื่อนผมสมัยเรียนก็ติด soap opera ครับ แอบได้ยินคุยกันในแลปครับ ส่วนผมสมัยเรียน (ช่วง 90s) ชอบ sitcom กลางคืนพวก Friends, Frasier, Seinfeld จนเดี๋ยวนี้ก็ยังต้องหา download พวก The Big Bang Theory, How I met your mother, Modern Family ฯลฯ มาดูครับ

ละครพวกนี้นอกจากจะได้ภาษาอังกฤษแล้วยังได้ความรู้เรื่องวัฒนธรรมของเขาด้วย ผมคิดว่าเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ได้เรียนรู้โดยไม่รู้ตัวครับ

ตื่นเต้นมากเลยค่ะกับโครงการ Wonkdy Academy ของอาจารย์และทีมงาน จะเป็นประโยชน์ต่องครูและผู้สนใจอย่างยิ่ง จะคอยติดตามค่ะ 

ทางสำนักงานสภาการศึกษาเคยทำแหล่งเรียนรู้ให้ครูคณิตศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลักสูตร การเรียนการสอนคณิตศาสตร์ สื่อ กิจกรรมการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์สำหรับเด็ก ปัญหาคณิตศาสตร์ที่ไม่ธรรมดา ใช้ความคิดแบบข้อสอบพิซ่า  แต่ตอนนั้นเราเน้นสำหรับนักเรียนที่เก่ง ที่เขาเรียกกันสั้น ๆว่า โครงการ Gifted Math ไม่ได้ติดตามแล้วว่าเขายังมีการทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่เพราะโครงการวิจัยจบไปนานแล้ว แต่โครงการ Gifted Math ก็ติดตั้งในโรงเรียนแล้ว เขายังรวมกลุ่มกันทำอยู่ ออกจะเพี้ยน ๆไปบ้างเท่าที่ทราบ

ผมก็ติดหลายเรื่องเลยครับ ไม่บอก 5555555555555

ขอบคุณค่ะท่านอาจารย์ธวัชชัย อยากดูเรื่องที่อาจารย์พูดถึงด้วยค่ะ เพราะอยู่ห่างจากรุ่นที่เคยดูสักสองทศวรรษได้ :)

คนที่เรียนภาษาอังกฤษด้วยการดู YouTube มีนะคะ เพิ่งอ่านเจอคนนึงไม่นานนี้เอง เขียนเป็นเทคนิคเป็นเรื่องเป็นราวเลยค่ะ เรียกว่าถ้าเข้าถึงวัตถุประสงค์ของการเรียนภาษาว่าก็เพื่อสื่อสาร เราจะหลุดจากกรอบการจำโน่นนี่นั่นซึ่งทำให้เราพูดไม่ออกบอกไม่เป็นกันอย่างที่เห็นทุกวันนี้นะคะ

นี่แหละค่ะ ยุคนี้ต้องรู้วิธีเรียนรู้ ให้คนรู้สึกมีแรงดึงดูดที่จะเรียนรู้เรื่องอะไรก็ตามจากความรู้สึก ความต้องการของตนเอง มีกลไก เครื่องมือการเรียนรู้ที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกคน

นักวิชาการอิสระอย่างพี่ที่เหมือนอาจารย์เลยคือ อะไรที่ทำแล้วไม่มีความสุขก็ไม่ทำ เลยบางช่วงดูซี่รีย์เกาหลีเพราะติดใจในการถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ ค่านิยม วัฒนธรรมทั้งใหม่ เก่าเนียนไปในเนื้อเรื่องค่ะ

....Except, Accept นั้น...............ต่างไฉน

ขอเพื่อนแต่งตอบไว...................อย่าช้า
ศัพท์อังกฤษยากหรือไร...............ก็เปล่า
ใช้บ่อย บ่ขายหน้า.....................เก่งได้แน่นอน

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท