เมื่อ 31 ตุลาคม 2549 ผมได้มีโอกาสเข้าพบ อ.ดร.อุทัย ดุลยเกษม คณบดีสำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ที่ห้องทำงานของท่าน ไปครั้งนี้ก็ไม่มีธุระอะไรมากครับ นำเงินทำบุญทอดกฐินไปให้ท่าน ท่านส่งฎีกาบอกบุญผมมาหลายวันแล้ว ผมไม่ได้นำไปมอบให้ท่านสักที ปีนี้ท่านเป็นเจ้าภาพกฐินที่วัดบ้านเกิดของทานที่จังหวัดพังงา ในฐานะที่ผมรู้จักท่านเคยเป็นลูกศิษย์ท่านตั้งแต่เมื่อครั้งท่านเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ทับแก้ว นครปฐม เมื่อราว พ.ศ.2532 หรือ2533 ประมาณนี้นี่แหละ ตอนนั้นกรมการศึกษานอกโรงเรียนส่งผมเข้ารับการอบรมการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยคนหนึ่งกับทีมงานของท่าน ท่านเป็นผู้อำนวยการหลักสูตร หลังจากนั้นก็พบเจอกันเรื่อยโดยเฉพาะระยะหลังๆเมื่อท่านมารับหน้าที่ที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ผมเลยได้รู้รู้จักกับผู้ใหญ่ของบ้านเมือง โดยเฉพาะในวงการการศึกษาท่านนี้ ที่สมถะและไม่ถือเนื้อถือตัว
พบกันครั้งนี้ก็คุยกันหลายเรื่องเช่นเคย เรื่องหนึ่งที่เป็นแง่คิดคือเรื่องงานการศึกษานอกโรงเรียน การศึกษาตลอดชีวิตนี่แหละครับ ท่านมีความเป็นห่วงอนาคตของการศึกษานอกโรงเรียน ท่านคาดหวังกับงานการศึกษานอกโรงเรียนมาก ท่านบอกว่าการศึกษาในระบบโรงเรียน มีข้อจำกัดเยอะตั้งแต่ระดับอนุบาล...จนถึงอุดมศึกษา จัดการศึกษาเพื่ออนาคต เห็นผลช้า ไม่ใช่วันนี้เดี๋ยวนี้.....ยิ่งทุกวันนี้ยุคโลกาภิวัฒน์ที่ทุกอย่างเปลี่ยนรวดเร็วมาก โดยเฉพาะความรู้ หนังสือตำรานี้เปลี่ยนกันบ่อยมาก การศึกษานอกโรงเรียนการศึกษาตลอดชีวิตนี่คือทางออกของชาติถ้าหากจะได้จัดกันดีๆ จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลง เห็นผลอย่างรวดเร็วได้ แต่ท่านก็อดเป็นห่วงว่ากระบวนการจัด กศน.ปัจจุบันไม่ได้ว่า มีสิ่งที่จะต้องปรับปรุงมากมาย ท่านว่า กศน.จะต้อง แยกแยะให้ได้ว่ากลุ่มไหน จะเรียนรู้เรื่องใด จะต้องมีกระบวนการตรงนี้ ไม่ใช่คลุมให้เรียนเรื่องเดียวกันทุกกลุ่ม ท่านพูดศัพท์ภาษาอังกฤษว่า segment ไหน เห็นว่าเรื่องไหน usefull และ relevant ท่านยกตัวอย่างว่าคุณยายอยู่บ้าน (เปรียบเหมือนกลุ่มเป้าหมายผู้เรียนหรือ segment ) หลานซื้อกับข้าวกับปลามาเต็มตะกร้ามาฝากคุณยาย หวังว่าทุกอย่างที่ซื้อมาคงเป็นประโยชน์หมดกับคุณยาย แต่คุณยายบอกว่ากินข้าวอิ่มเสียแล้ว ทุกสิ่งที่ซื้อมาเป็นประโยชน์หมดก็จริง ไอ้นั่นก็เป็นประโยชน์ไอ้นี่ก็เป็นประโยชน์ (usefull ) แต่มันตอบสนองปัญหาให้คุณยายเดี๋ยวนั้นไม่ได้ ไม่สัมพันธ์ไม่เหมาะเจาะกับคุณยายเสียแล้ว ( relevant) แม้สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์ก็จริง แต่ในเวลานั้นสิ่งนั้นมันไม่เหมาะเจาะ ไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคุณยายเสียแล้ว....ผมว่าตัวอย่างที่อาจารย์ยกมาพูดนี้ชัดมากเรื่องของประโยชน์กับความเหมาะเจาะ
ตัวอย่างที่อาจารย์ยกมาทำให้ผมนึกถึงการทำคลังหลักสูตรครับว่า ทำหลักสูตรกันเยอะแยะมากมาย ทำล่วงหน้านาน กระบวนการทำผู้เรียนหรือชาวบ้านจะมีส่วนสร้างหรือไม่ก็ไม่มีใครรับรองได้ เมื่อส่งไปให้แต่ละ segmentใช้แล้ว มันจะ relevant เหมาะเจาะหรือเปล่า ผมคิดว่าเรื่องเหมาะเจาะหรือไม่นี้คงจะเบาบางลงแน่นอนหากจะได้ใช้การจัดการความรู้กับกลุ่มเป้าหมายหรือผู้เรียนครับ ถามเป้าหมายการเรียนรู้กับคุณกิจในเวทีเรียนรู้นั่นแหละครับ เอากันสดๆเลย ไม่ว่าจะ segment ไหน ก็จะได้ทั้ง usefull และ relevant ครับ แต่ต้องทีมคุณอำนวยที่เก่งๆนะครับ
ไปหาอาจารย์เที่ยวนี้ ได้ทั้งบุญกุศลและได้ทั้งความรู้ครับ ผมก็ขอนำความรู้อาจารย์มาเผยแพร่ต่อ เพราะในทางพุทธศาสนาสอนว่า การให้ธรรม ให้ความรู้เป็นทานถือว่าชนะการให้ทั้งปวง สัพพะทานัง ธัมมะทานังชินาติ
เรียน น้องสิงห์ป่าสัก
เป็นความเห็นที่ล้ำยุคมากครับ
ผมได้เรียนรู้ไปด้วยกับบันทึกนี้
ขอบคุณครูมากครับ
..........................
ให้ความรู้เป็นทานถือว่าชนะการให้ทั้งปวง สัพพะทานัง ธัมมะทานังชินาติ
เรียน คุณจตุพร
ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมเยียน