deawche
เดี่ยวเช คมสัน deawche หน่อคำ

ศาลหลักเมือง(แก้ไขเพิ่มเติม 15 มีนาคม 2560)


ศาลหลักเมือง คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ตั้งของหลักเมือง ซึ่งตามธรรมเนียมพิธีของศาสนาพราหมณ์ว่า ก่อนที่จะสร้างเมืองจะต้องทำพิธียกเสาหลักเมืองในที่อันเป็นชัยภูมิสำคัญ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมืองที่จะสร้างขึ้น ประเทศไทย เชื่อว่าทำมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีเรื่องเล่ากันว่า พิธีสร้างเมืองต้องฝังอาถรรพ์ ๔ ประตูเมืองและเสาหลักเมือง คือ ต้องเอาคนมาฝังในหลุม เพื่อให้เฝ้าบ้านเมือง ซึ่ง จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา ประธานชมรมสยามทัศน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "เป็นเพียงเรื่องเล่าสืบต่อกันมา ไม่มีบันทึกในพงศาวดาร ไม่น่าจะเป็นไปได้ คงจะเป็นเพียงเรื่องเล่ามาจากนิทานที่เล่าสืบต่อกันมา เหมือนกับการโล้ชิงช้าที่เล่ากันว่าพราหมณ์ตกลงมา ก็ให้ฝังไว้ตรงเสาชิงช้า

เมืองแพร่เองก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับที่มาของชื่อประตูมารว่ามาจากการฝังคนท้องมานไว้ที่ประตูนั้น แต่ในเรื่องเล่านั้น เรียกว่า พิธีเบิกประตูเวียง ตามความเชื่อว่าการสร้างเวียงใหม่ ต้องทำ "ประตูบาก" ไว้ประตูหนึ่ง โดยจะมีพิธีประหารผู้มีชะตาถึงฆาต เพื่อให้วิญญาณรักษาประตูแห่งนี้ไว้ ไม่ใช่การฝังอาถรรพ์ อย่างไรก็ตาม เรื่องราวเกี่ยวกับชื่อของประตูด้านทิศใต้ของเวียงแพร่แห่งนี้ ก็มีการเสนอที่มาอื่นอีก เช่น คำว่า "มาร" คงหมายถึง สิ่งล้างผลาญคุณความดีเป็นมาร ๕ คือ กิเลสมาร, ขันฑมาร, เทวปุตตมาร, อภิสังขารมาร, มัจจุราชมาร และเทพประจำทิศใต้มีท้าววิรุฬหก (กุมภัณฑ์ จอมเทวดา) มหาราชเป็นผู้ปกครองและเป็นใหญ่ทางทิศใต้ ตามความเชื่อในเรื่อง "ต้าวทั้งสี่" หรืออีกด้านหนึ่ง มีการเสนอว่า "ประตูมาร" มาจากการเป็นประตูที่เป็นเส้นทางออกจากเวียงแพร่ มุ่งไปสู่เมืองมาน ซึ่งเป็นเมืองด่านด้านทิศใต้ แต่ยังไม่มีหลักฐานปรากฏว่า เมื่อครั้งสร้างเมืองแพร่มีการฝังเสาหลักเมืองเหมือนกรุงเทพฯ หรือเสาอินทขิลเหมือนอย่างเมืองเชียงใหม่

สำหรับศาลและเสาหลักเมืองแพร่ในปัจจุบันนี้ ตั้งอยู่บนถนนคุ้มเดิม เยื้องจวนผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เข้าใจว่าศาลหลักเมืองแพร่สร้างในครั้งแรก­พร้อมกับการสร้างเมืองแพร่ มีหลักเมืองเดิมเป็นรูปใบเสมา เรียกกันว่า ศิลาจารึกศาลหลักเมืองแพร่ ถูกนำมาไว้ใจกลางเมือง ซึ่งถือว่าเป็น สะดือ เดิมมีสภาพเป็นพื้นที่ร่มรื่นมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่เป็นที่ตั้งของศาลเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านเรียกว่า ตูบผี ต่อมาพื้นที่นี้ได้ถูกถางตัดต้นไม้ใหญ่ออก และนำเอาหลักศิลาจารึกที่พบหลักหนึ่ง(ในวัดร้างศรีบุญเริง ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณเรือนจำจังหวัดแพร่) ยึดถือเป็นหลักเมืองแพร่ ภายหลังจึงได้มีการสร้างศาลหลักเมืองเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนขึ้น เป็นหลักใหม่สร้างตามนโยบายมหาดไทย ปี ๒๕๓๕ และในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๖ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงมาวางศิลาฤกษ์ในการก่อสร้างศาลหลักเมืองแพร่หลังใหม่ เป็นศาลหลักเมืองที่ได้รับการออกแบบอย่างวิจิตรพิสดาร สร้างด้วยศิลปะแบบล้านนา ลงรักปิดทอง ประกอบด้วยเสาไม้สักขนาดใหญ่ ฝังในผนังปูนอย่างกลมกลืนทั้งสี่มุม ยอดหลังคาเป็นรูปทรงเจดีย์พริ้วงามด้วยใบโพธิ์ ต่อมาได้รับพระราชทานเสาหลักเมืองแพร่ เป็นเสาไม้ยมหิน(ไม้ประจำจังหวัดแพร่)จากองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙(พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช) มาประดิษฐานในศาลหลักเมืองแพร่หลังใหม่ และในวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๓๗ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร(พระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ์ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ ๑๐)ทรงเสด็จพระราชดำเนินมาเปิดศาลหลักเมืองแพร่ ให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดแพร่

ศิลาจารึกศาลหลักเมืองแพร่ มีอักษรบนจารึกเป็นภาษาไทยอาหม กล่าวถึงการสร้างวัดศรีบุญเริง ในสมัยรามคำแหงมหาราช สร้างด้วยศิลปะแบบล้านนาลงรักปิดทอง ประกอบด้วยเสาไม้สักขนาดใหญ่ฝังในผนังปูนอย่างกลมกลืนทั้งสี่มุม (ซึ่งในปัจจุบันวัดนี้ไม่มีแล้วกลายเป็นที่ตั้งเรือนจำจังหวัดแพร่)

สันนิษฐานการสร้างเมืองแพร่ว่า เมื่อปี พ.ศ.๑๓๘๗ ขุนหลวงพล เป็นเจ้าหลวงผู้ครองเมืองแพร่ ซึ่งมีชื่อว่าเมืองพล หรือ พลรัฐนคร เป็นชื่อดั้งเดิมของเมืองแพร่ ในสมัยที่ก่อสร้างเมืองขึ้นครั้งแรก บางครั้งเรียกว่า พลนคร ชื่อพลนครปัจจุบันมีปรากฏเป็นชื่อ วิหารในวัดหลวง ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ ซึ่งวัดหลวงเป็นวัดเก่าแก่ สันนิษฐานว่าสร้างมาพร้อมกับการสร้างเมืองแพร่ เป็นวัดที่เจ้าเมืองแพร่ให้ความอุปถัมภ์มาโดยตลอดจนหมดยุคเจ้าเมืองตำนาน เมืองเหนือฉบับใบลาน ต่อมา พ.ศ.๑๕๕๙ พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสนเรียกเมืองแพร่ว่า เมืองโกศัย หรือ โกสิยนคร เมืองแพล เป็นชื่อเรียกในศิลาจารึกพ่อขุนสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งกรุงสุโขทัยโดยศิลาจารึก ด้านที่ ๔ ระบุว่าในสมัยพ่อขุนรามคำแหงฯ ได้มีการขยายอาณาเขตให้กว้างยิ่งขึ้น ในตำนานเมืองเหนือเรียกเมืองแพร่ว่า เมืองพล ขณะที่ศิลาจารึกเรียก เมืองแพล แต่เมื่อพิจารณาสภาพทางภูมิศาสตร์สามารถกล่าวได้ว่า เมืองพลกับเมืองแพลเป็นเมืองเดียวกันเมืองแพร่ เป็นชื่อที่คนไทยในอาณาจักรสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา ใช้เรียก เมืองแพลโดยกลายเสียงเป็นแพรหรือเมืองแป้ หมายถึงเมืองแห่งชัยชนะ (แป้ คือ ชนะ) แล้วก็มาเป็น แพร่ ตามภาษาของภาคกลาง ยอดหลังคาเป็นรูปทรงเจดีย์พลิ้วงามด้วยใบโพธิ์

ขอบคุณข้อมูลจาก th.wikipedia.org/‎, http://wungfon.com/,http://www.thai-tour.com,

,

หมายเลขบันทึก: 567287เขียนเมื่อ 3 พฤษภาคม 2014 13:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มีนาคม 2017 17:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท