ผลข้างเคียงของน้ำอัดลม
น้ำอัดลมเป็นเพียงน้ำผสมน้ำตาล ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการใดๆ และยังเป็นสาเหตุของโรคอ้วนและโรคเบาหวาน
ผลข้างเคียงซึ่งปนมากับความหวานหอมของน้ำอัดลมมีดังนี้คือ
ไขมันสะสม
นักวิจัยในประเทศเดนมาร์คพบว่าผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมมักมีไขมันสะสมเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติในบริเวณตับและกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลินและเป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน งานวิจัยนี้พยายามศึกษาเปรียบเทียบระหว่างผู้ที่ดื่มนมหรือน้ำเปล่ากับผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำทุกๆวันนาน 6 เดือน พบว่าผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำมีไขมันสะสมเพิ่มขึ้นมากกว่าถึง 132 - 142% ในบริเวณตับและ 117 - 221% ในกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังมีไขมันที่เลวชนิดไตรกลีเซอไรด์สะสมเพิ่มขึ้น 30 % ทั้งในเลือดและที่อวัยวะภายในอื่นๆ และมีคลอเรสเตอรอลล์สะสมเพิ่มขึ้น 11 %
น้ำอัดลมไดเอท
ไม่แปลกเลยที่ผู้ดื่มน้ำอัดลมมักมีไขมันสะสมเพิ่มขึ้นและมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น แต่ที่แปลกคือผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมไดเอท(ไม่ใส่น้ำตาล-ผู้แปล)ก็มีไขมันสะสมเพิ่มขึ้นและมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน นักวิจัยที่มหาวิทยาลัย University of Texas Health Science Center ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ติดตามผลในผู้ใหญ่จำนวน 475 คนซึ่งดื่มน้ำอัดลมไดเอททุกวันๆละ 1 กระป๋องนาน 10 ปี พบว่ามีไขมันสะสมเพิ่มขึ้น 70% ในบริเวณรอบเอวเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่มน้ำอัดลม และยังพบว่า ผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมไดเอททุกวันๆละมากกว่า 2 กระป๋อง มีไขมันสะสมเพิ่มขึ้นถึง 500%
อีกงานวิจัยหนึ่งซึ่งศึกษาผลข้างเคียงในหนูทดลองที่ได้ดื่มน้ำอัดลมไดเอทซึ่งมีน้ำตาลเทียมชนิดแอสปาแตม ทำให้ร่างกายปล่อยให้น้ำตาลคงอยู่ในกระแสโลหิตรเพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลให้ตับเร่งสะสมไขมันตามร่างกายเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
สีสังเคราะห์
องค์กรอิสระแห่งหนึ่งชื่อว่า Center for Science in the Public Interest ได้ยื่นหนังสือเพื่อขอให้องค์การอาหารและยาในประเทศสหรัฐอเมริกา สั่งห้ามการใช้สีสังเคราะห์ที่ใช้ทำสีน้ำตาลเข้มให้น่าดื่มในน้ำอัดลมเช่นโค้ก เป๊ปซี่ และยี่ห้ออื่นๆ เนื่องจากสีนี้มีสารเคมีที่ชื่อ 2-methylimidazole และ4-methylimidazole ผสมอยู่ด้วย สัตว์ในห้องทดลองที่ได้รับสารเหล่านี้ในปริมาณเพียง 16 ไมโครแกรมก็เป็นโรคมะเร็งได้แล้ว องค์กรนี้ได้กล่าวว่าการใช้สีสังเคราะห์ซึ่งมากถึง 200 ไมโครแกรม(ในน้ำอัดลมขนาด 20 ออนซ์)เพื่อทำสีให้น่าดื่มจึงไม่คุ้มกับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเลย
ทำให้แก่เร็ว
สารฟอสเฟตในน้ำอัดลมทุกชนิดซึ่งทำให้มีรสชาติบาดคอและใช้เป็นวัตถุกันเสียด้วยนี้เป็นสาเหตุทำให้หัวใจและไตมีปัญหา สูญเสียกล้ามเนื้อ ทำให้กระดูกพรุนได้ แล้วยังทำให้แก่เร็วอีกด้วย ดังที่ได้มีงานวิจัยหนึ่งในวารสารชื่อFASEB Journal ปี 2010 ซึ่งพบว่าสารฟอสเฟตในน้ำอัดลมทำให้กลุ่มหนูในห้องทดลองที่ดื่มน้ำอัดลมเสียชีวิตเร็วกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ดื่มถึง 5 สัปดาห์(วงจรชีวิตแปดเดือนของหนูเท่ากับหกสิบปีของมนุษย์- โปรดดูบทความสุขภาพเรื่องออกกำลังกายชะลอความชรา? -ผู้แปล)
โรค Mountain Dew
ทันตแพทย์ในประเทศสหรัฐอเมริกามักจะเรียกเด็กๆที่มีฟันผุมากเนื่องมาจากการติดเครื่องดื่มซึ่งมีน้ำตาลในปริมาณที่สูงเช่นยี่ห้อ Mountain Dew ว่าเป็น”โรคในช่องปากMountain Dew” นอกจากนี้เครื่องดื่มรสส้มและเครื่องดื่มเกลือแร่บางยี่ห้อใช้สารBVO ป้องกันการแยกตัวของสารให้รสชาติแขวนลอย BVO เป็นสารตัวเดียวกันกับที่ใช้ป้องกันการติดไฟของพลาสติกในอุตสาหกรรมพลาสติก ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าหากดื่มมากๆแล้ว นอกจากจะทำให้ความจำเสื่อมและระบบประสาทผิดปกติแล้ว ยังเร่งการสะสมของไขมันในร่างกาย ทำให้เป็นหมัน และเกิดความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจอีกด้วย
ฮอร์โมน
กระป๋องอลูมีเนียมส่วนใหญ่จะได้รับการเคลือบด้วยสารประเภทอีพ๊อกซี่ชื่อ bisphenol A (BPA) เพื่อป้องกันการทำปฏิกิริยากันระหว่างกรดในน้ำอัดลมกับกระป๋อง สาร BPA นี้ทำให้การหลั่งฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ ทำให้เป็นหมัน โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคมะเร็งของระบบสืบพันธุ์ต่างๆ ทั้งนี้หน่วยงานในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ชื่อ The Centers for Disease Control and Prevention ได้ระบุว่ากระป๋องน้ำอัดลม ร้านอาหาร โรงเรียน และพวกอาหารฟาสฟู๊ด มักเป็นแหล่งของอาหารที่ปนเปื้อนสารเคมี ในขณะนี้เป๊ปซี่และโค้กกำลังแข่งกันผลิตขวดน้ำอัดลมพลาสติกมาใช้แทนกระป๋อง
สิ่งแวดล้อม
น้ำตาลเทียมในน้ำอัดลมทำให้น้ำเสีย นักวิทยาศาสตร์ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ได้พบว่าตัวอย่างน้ำที่ได้เก็บมาจากแม่น้ำ ทะเลสาบ และแหล่งบำบัดน้ำเสีย ยังคงมีสารให้ความหวานในน้ำอัดลมเช่น เอสซัลเฟมโปแตสเซียม ซูคราโลส และแซคคาริน ปนเปื้อนอยู่ เช่นเดียวกันกับในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งพบสารซูคราโลส ปนเปื้อนอยู่ ทั้งนี้เพราะสารให้ความหวานในน้ำอัดลมเหล่านี้ไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในร่างกายของมนุษย์ แม้จะยังไม่พบว่าสารซูคราโลสมีอันตรายต่อร่างกายของมนุษย์หรือไม่ แต่ได้มีงานวิจัยซึ่งพบว่าสิ่งมีชีวิตต่างๆในแม่น้ำและทะเลสาบซึ่งมีสารนี้ปนเปื้อนอยู่มีพฤติกรรมในการกินที่เปลี่ยนไป
ในปีค.ศ. 2009 นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและช่างภาพที่ชื่อ Chris Jordan ได้ไปเก็บภาพที่ Midway Atoll area ซึ่งถูกเรียกว่า “กองขยะกลางมหาสมุทรแปซิฟิก” เพราะมีขยะพลาสติกลอยอยู่มากมายรวมทั้ง ฝากระป๋องน้ำอัดลม ตาข่ายจับปลาพลาสติก ในแต่ละปีมีนก เต่าทะเล และสัตว์อื่นๆต้องมาตายมากมายปีละหลายพันตัว เพราะมากินขยะเหล่านี้ด้วยเข้าใจว่าเป็นอาหาร
โดย Emily Main , www.rodalenews.com
ภาพ- google
เลิกทานไปแล้วครับ ;)...
มายกสองมือสนับสนุนค้า เยี่ยมมากค่ะ ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุดนะคะ
...เมืองไทยมีน้ำอัดลมมากมายหลายชนิด...เดินไปที่ไหนก็เจอนะคะ...
ขอบคุณที่ช่วยกันเผยแพร่ความรู้นี้ให้กว้างขวางค่ะ ตัวเองจะใช้วิธีชวนคนรอบข้างให้อ่านฉลากข้างขวดว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง เชื่อว่าหลายๆคนอ่านแล้วก็อาจจะช่วยให้หายอยากดื่มไปได้เหมือนกัน ยิ่งมีข้อมูลอื่นๆสนับสนุนด้วยยิ่งเป็นเรื่องชวนคิดสะกิดใจให้ยิ่งขึ้นค่ะ
ขอขอบคุณทุกๆความเห็นและโปรดช่วยชี้ชวนให้เห็นโทษของน้ำอัดลมกันต่อไปนะครับ
ค่ะต้องช่วยกันบอกกล่าวเท่าที่ทำได้ สื่อไทยยังโฆษณากันกระหึ่มกระจายทำได้ยากมาก แต่ก็มีไม่น้อยที่หยุดและเลิกได้ ได้แต่เป็นห่วงผู้ที่ยังไม่งดลดเลิกดื่ม ความสะดวกสบายหาซื้อง่ายมีทุกแห่งและการชักชวนตามสื่อ คือปัญหาอย่างหนึ่งเลยค่ะ ในลักษณะคิดแบบ ถ้าไม่ดีแล้วทำไมยังมีการออกสื่อชวนให้ดื่มอย่างครึกโครม แล้วจะทำอย่างไร?
ขอบคุณมากนะคะนำสิ่งดีๆมาฝากเสมอ ขอนำไปฝากกลุ่มสบายใจกับสุขภาพด้วยนะคะ
ดีใจว่าตัวเองไม่กินน้ำอัดลมมาเกือบยี่สิบปีแล้วค่ะ
คุณกานดาน้ำมันมะพร้าวครับ ที่มีการโฆษณาขายน้ำอัดลมและน้ำหวานชนิดต่างๆกันมากมายตามสื่อที่มีค่าโฆษณาแพงๆแล้วยังมีรางวัลล่อให้ซื้ออีกก็เพราะธุรกิจนี้มีกำไรสูงมาก ทั้งๆที่เป็นน้ำธรรมดาใส่น้ำตาลแต่งกลิ่นเติมสีบรรจุขวดสวยๆก็มีมูลค่าสูงขึ้นได้แล้ว สิ่งที่เราทำได้คือโฆษณาให้กันฟรีปากต่อปาก พร้อมกับการทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง เช่น ในกรีนไลฟ์ฟิตเนสจะไม่มีน้ำอัดลมและน้ำหวานขายเลย(นอกจากน้ำดื่มเกลือแร่ซึ่งในบางครั้งยังจำเป็น) ทั้งที่ได้กำไรดีก็ตามครับ
ปกติก็ไม่ค่อยดื่มอยู่แล้ว ขอบคุณมากค่ะ