สิ่งที่สะท้อนให้ดร.ป๊อปได้เรียนรู้ในวันนี้ คือ เราต้องใช้วิธีการสาธิตให้น้องๆ นักศึกษาหรือนักกิจกรรมบำบัดท่านอื่นๆ ได้เรียนรู้แบบลงมือกระทำ แค่สอนหรือพูดคงไม่พออีกแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับน้องๆอาจารย์ไปบ้างแล้วด้วยโจทย์ "ทำไมนักศึกษากิจกรรมบำบัดหรือนศ.กบ.จึงไม่สามารถนำแนวคิดทางกิจกรรมบำบัดไปใช้ในชีวิตจริงได้" ...บางคนเรียนถึงปี 4 ก็ตอบไม่ได้ว่า นักกิจกรรมบำบัดแตกต่างจากนักกายภาพบำบัดได้อย่างไร ... บางคนก็ไม่เข้าใจตัวเอง ทำให้ทำคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ของม.มหิดลทำให้ต้องลาออกไปเรียนสาขาอื่นๆ ... บางคนจบเกียรตินิยมก็มั่นใจในงานที่คลินิก สื่อสารภาษาวิชาการ (ไทยปนอังกฤษ) รวดเร็วจนผู้คนทั่วไปสนใจใคร่รู้ แต่เมื่อสอบถามตัวอย่างง่ายๆที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน นักกิจกรรมบำบัดคนเก่งก็ต้องกลับไปค้นตำราเพิ่มเติมและต้องสาธิตให้ผู้สนใจได้เรียนรู้ที่คลินิกในวันอื่นๆ ... บางคนเพิ่งจบปริญญาจนสอบได้ใบประกอบโรคศิลปะวิชาชีพกิจกรรมบำบัด มีความมั่นใจในตัวเองดีมาก แต่ไม่กล้าที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กับอาจารย์ พอมีโอกาสได้สื่อสารแนวทางการบำบัดกับอาจารย์ผ่านที่ประชุม ก็คอยกระตุ้นให้อาจารย์ดูและพูดในตำราที่มีเอกสารอ้างอิง แต่ดร.ป๊อปขอเป็นตัวของตัวเองจึงตอบโต้ไปว่า "พี่ขอใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาในการไม่ใช้เทคนิคนี้ ยกตัวอย่าง ไม่ใช้สารที่ใส่ในอาหารให้ข้น แต่จะให้โอกาสผู้รับบริการเลือกอาหารที่ชอบแล้วเราให้ความรู้ในการปรับอาหารตามผิวสัมผัสและความเข้มข้นในธรรมชาติ คลิกอ่านได้ที่นี่"
ซึ่งดร.ป๊อปต้องใช้ทักษะการควบคุมอารมณ์ ทักษะการสื่อสารด้วยใจ และทักษะการพัฒนาความรอบรู้เชิงบวก ในช่วงเวลานั้นๆ ด้วยเทคนิคต่างๆ ของ Neuro-Linguistic Programming หรือ NLP ซึ่งขอขอบพระคุณบล๊อก OK Nation ที่ถ่ายทอด NLP ได้กระชับที่นี่ ได้แก่:-
1. Set Positive Intention คือ การสื่อสารจิต (ความคิด) ของตัวเองให้แสดงความตั้งใจเชิงบวกว่า "เวลานี้เราตั้งใจจะทำอะไร" ในสถานการณ์นี้ "ดร.ป๊อปตั้งใจจะสื่อสารบทบาทนักกิจกรรมบำบัดให้เป็นรูปธรรม" ไม่ใช่ตั้งใจที่จะสื่อสารขัดแย้งกับนักกิจกรรมบำบัดท่านอื่นๆ
2. NLP Presupposition คือ ความเชื่อและข้อสมมติให้เกิดแง่คิดเชิงบวก ซึ่งในสถานการณ์นี้ ผมใช้ "The Map is not the territory" เน้นว่า ทุกความจริงที่ผมเข้าใจเป็นสิ่งที่ผมกำหนดเอง แต่คนอื่นๆไม่จำเป็นต้องเข้าใจเหมือนที่ผมเข้าใจ เพราะคนอื่นๆ เค้ากำหนดความคิดความเข้าใจของเค้าเอง
ขอบพระคุณที่มา/Acknowledgement: http://1-nlp.com/nlp_diagram_map_territory.htm
3. Pacing & Leading (Backtrack - Positively critique) คือ การรับฟังผู้อื่นที่กำลังพูดอย่างตั้งใจและลึกซึ้ง จากนั้นค่อยๆ จับประเด็นหนึ่งที่ไม่ชัดเจน แล้วย้ำประเด็นนั้นย้อนกลับมาพูดสัก 1-3 รอบ แล้วเพิ่มตัวอย่างที่ชัดเจนนำกลับไปให้ผู้อื่นเข้าใจมากขึ้น ถือเป็นการสื่อสารวิพากษ์เชิงบวก (ฟังแล้วไม่คิดว่าตำหนิ)
4. Cognitive Reframing คือ การคิดและทำความเข้าใจตามที่ผู้อื่นกำลังพูด เมื่อมีประเด็นที่ไม่ชัดเจน ก็พูดเสริมต่อความคิดจากผู้อื่นให้เป็นประโยคสื่อสารที่ผู้อื่นเข้าใจได้กระจ่างขึ้นและมีเหตุผลขึ้น
5. Strategy Elicitation คือ การใช้ใจ (เมตตา) สื่อสารจิต (ความคิดที่ยืดหยุ่น) ออกมาสู่ผู้อื่นด้วยการควบคุมอารมณ์ของตนเองให้เป็นบวก บวก และบวก ขณะเดียวกันตัวเองได้เรียนรู้กระบวนความคิดความเข้าใจที่พูดออกไปแล้วฟังความคิดของผู้อื่น โดยมุ่งเป้าในการพัฒนาตัวเองให้สามารถสื่อสารและร่วมทำงานกับผู้อื่นที่อาจจะขัดแย้งกับเราได้ดีขึ้นและมีความสุข
ขอบคุณค่ะอาจารย์ ดร.ป๊อบ คำบรรยายและรูปภาพชัดเจนมาก เริ่มต้นปีใหม่ไทยนี้ตั้งใจว่าจะเปลี่ยน map แล้วค่ะ
ยินดีและดีใจด้วยความสุขปีใหม่แด่คุณกุหลาบครับผม ขอบคุณมากๆครับ
...มีเรื่องราวดีๆเสมอนะคะ...สวัสดีวันปีใหม่ไทย "วันสงกรานต์๒๕๕๗" ค่ะ
การสื่อสารด้วยใจ ทำยาก ใช้เวลา แต่ทำแล้วได้ประโยชน์มาก
ขอบคุณความรู้ดีๆ พี่ต้องค่อยๆ อ่าน ค่อยละเลียด เก็บเกี่ยวได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่รู้สึกขอบคุณอาจารย์เสมอ
ขอบคุณมากๆครับพี่ดร.พจนา และพี่ nui ...ไว้ผมจัดตารางอบรมเสร็จ น่าจะมีโอกาสได้เรียนรู้กันได้อย่างเป็นรูปธรรมในโครงการกิจกรรมบำบัดจัดการความสุขต่อไปนะครับผม
ตวามคิดเชิงบวก ..... ให้พลังอย่างที่เราคิดไม่ถึง จริงๆ ค่ะ ....
ใช่ครับ ขอบคุณมากครับ ผมก็ชอบความคิดบวกของพี่ดร.เปิ้นครับ
ขอบคุณมากๆครับพี่โอ๋