อันวาร์ยุติธรรม ทำมืดมน


เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เขียนมีโอกาสหวนคืนสู่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ดินแดนอันเขียวชอุ่ม อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย จนน่าที่จะคลับคล้ายสวรรค์บนแดนดิน แต่กลับระงมระทมทุกข์ นานา อันเกิดจากการกระทำทั้งหลายจากมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกัน

            นับเป็นเวลาร่วม6ปีเศษที่ผู้เขียนห่างเหินจากพื้นที่และจากการงานที่ต้องรับรู้ความทุกข์ ท้อแท้ แลสิ้นหวัง มืดมนราวไร้สิ้นซึ่งแสงที่ปลายอุโมงค์ของผู้คนในพื้นที่ปรายด้ามขวานแห่งราชอาณาจักรไทยแห่งนี้ หากทว่าแม้เวลาล่วงผ่านมานานปานนี้แล้ว เมื่อได้เจอมิตร แลอดีตผู้คนที่ผู้เขียนเคยมีส่วนร่วมรับผิดชอบดูแลเรียกร้องความยุติธรรมให้เหล่านั้น ยังคงกล่าวถึงข้อความเดิมๆ ที่ผู้เขียนได้เคยรับรู้รับฟังด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจอยู่เช่นเดิม คือ

“ ......เขาอยากจะทำอะไรเขาก็ทำ” 

“....... เขาไม่ได้ตรวจสอบอะไรเลยเราอยู่ดีดีเขาก็มาจับตัวไป”

“ ตอนนี้กลัวมากที่บ้านเหลือแต่ผู้หญิง ผู้ชายถูกเก็บหมดแล้ว ภายใน 3 เดือนถูกฆ่าไป 5 ศพแล้ว”

“ เรื่องความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นกับผม จะสามารถดำเนินการอะไรบ้างหรือเปล่า”

ก่อนหน้านี้ ผู้เขียนมักตอบคำถามด้วยความมั่นใจในกระบวนการต่อสู้อย่างสันติของกระบวนการยุติธรรมว่า “ กระบวนการยุติธรรมช่วยได้ ประสงค์จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือเปล่า หากประสงค์ ผู้เขียนในฐานะทนายความจะดำเนินการให้” หากแต่วันนี้ผู้เขียนเริ่มไม่มั่นใจมากขึ้นและมากขึ้น จนแทบไม่มีหน้าไปยืนยันกับเขาเหล่านั้นว่า “กระบวนการยุติธรรมช่วยได้” อย่างมั่นใจยิ่งเช่นครั้งก่อนๆ แม้ลึกๆในใจยังคงเชื่อว่าหนทางการเรียกร้องความเป็นธรรมอย่างสันติมีเพียงกระบวนการยุติธรรมที่เป็นคำตอบ สิ่งเหล่านี้ มิได้ถูกกล่าวอ้างขึ้นมาลอยๆ หากแต่เขาเหล่านั้นล้วนมีตัวตนอยู่จริง ทุกข์ทรมานจริง

            แลเหตุที่ผู้เขียนตั้งคำถามกับกระบวนการยุติธรรม ว่าคือคำตอบอย่างสันติหรือไม่ หรือที่แท้แล้วอาจจะคืออีกชนวนสำคัญที่ ผลักดันผู้คนไปสู่การสู้อย่างหลังชนฝาด้วยวิธีทางแห่งความรุนแรงกันแน่ ก็เกิดอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ที่เกิดกับมนุษย์ร่วมโลกใบนี้ จริงๆ

            เมื่อหลายปีก่อนผู้เขียนได้มีโอกาสรู้จักกับอันวาร์ ซึ่งในขณะนั้นคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล อันวาร์อยู่ระหว่างการประกันตัวมาขอให้ผู้เขียนช่วยดูสำนวนคดีให้เพื่อขอคำปรึกษา แต่ผู้เขียนไม่อาจช่วยเหลือคดีได้เนื่องจากมีทนายความของจำเลยอยู่ในคดีอยู่ก่อนแล้ว จากการอ่านสำนวนคดีจึงทราบว่า พยานหลักฐานที่ใช้ในการดำเนินคดีอาญาร้ายแรงกับอันวาร์นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นพยานบอกเล่า ทั้งสิ้น บางปากเป็นพยานเจ้าหน้าที่ซึ่งมาเบิกความตามเอกสารที่เป็นคำให้การของบุคคลอื่นที่เคยถูกควบคุมตัวมาสอบถาม โปรดสังเกตว่าผู้เขียนไม่ใช้คำว่าสอบสวน เพราะข้อเท็จจริงที่กล่าวถึง ไม่ได้เกิดในชั้นสอบสวนของพนักงานสอบสวน บางปากที่มาให้ข้อมูลในการสอบถามโดยตัวผู้ให้ข้อมูลเองก็เป็นเพียงพยานบอกเล่าอยู่แต่เดิมแล้ว มาให้ข้อเท็จจริงตามที่ถูกนำมาให้ข้อมูล ไม่เพียงเท่านั้น บุคคลเหล่านั้น ไม่ถูกนำตัวมาศาลเพื่อเป็นพยานปรักปรำอันวาร์ด้วยซ้ำ มีแต่เพียงเจ้าหน้าที่เป็นผู้มาให้การ ตามเอกสารที่อ้างว่าตนได้ซักถามมาเท่านั้น

            ยังไม่ต้องพูดถึงข้อเท็จจริงที่เลื่องลือกันในพื้นที่ว่า ผู้ถูกซักถามข้อมูลตกอยู่ในสถานการณ์ใดบ้างขณะถูกซักถาม สถานที่ควบคุมในระหว่างซักถามเป็นเช่นไร การคุ้มครองสิทธิที่จะให้ข้อมูลหรือไม่ให้ข้อมูลเป็นเช่นไร ได้มีโอกาสพบปะญาติพี่น้องเพื่อจะได้มีโอกาสร้องขอความช่วยเหลือหากมีการกระทำบางประการบ้างหรือไม่อย่างไร รัฐอาจไม่รู้หรือรู้แต่ไม่แยแส แต่ชาวบ้านรู้ ส่วนผู้อำนวยความยุติธรรมชั้นศาลจะรู้หรือไม่ หรือทำเป็นไม่รู้ ก็สุดแท้ที่เราท่านจะรู้ได้

            แต่หากผู้อยู่ในกระบวนการยุติธรรมชั้นศาลไม่รู้เรื่องราวที่ระทมทุกข์อยู่ทั่วไปในสังคมที่ตนต้องให้ความเป็นธรรมแล้ว ราษฎร์จะพึ่งพากระบวนการยุติธรรมที่มีผู้หูหนวก ตาบอดเป็นผู้อำนวยธรรมได้อย่างไรกัน?

            ที่สุดแล้ว “ความจำเป็นที่ชั่วร้าย” ก็ปรากฏตัวตนจนได้ โดยหลังการรับฟังพยานหลักฐาน ห้ามมิให้รับฟังพยานบอกเล่า หากจำต้องรับฟัง ก็ต้องระมัดระวังยิ่ง หรือต้องฟังประกอบพยานอื่น แต่ผู้เขียนไม่เห็นร่องรอยของพยานอื่นใดในกรณีนี้ มีเพียงข้ออ้างว่าพยานเหล่านั้นน่าเชื้อได้เพราะมิได้ปรักปรำเพื่อโยนผิดให้ผู้อื่น ทั้งที่ไม่มีใครที่ปรากฏชื่อว่าตนร่วมกระบวนการด้วย เหล่านั้น ไม่ถูกดำเนินคดีด้วย ฮึๆๆๆ ชั่งไม่น่าสงสัยกระบวนการของต้นธารแห่งกระบวนการยุติธรรมทางอายาเลย โอ้! อนิจจา! โดยหลัก โจทก์(พนักงานอัยการ) ต้องพิสูจน์จนสิ้นสงสัยว่า จำเลยกระทำผิดจริง มิเช่นนั้นต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ตามที่บุรพาจารย์ได้เคยสอนสั่งว่า ปล่อยคนผิด100คน ยังดีกว่าลงโทษผู้บริสุทธิ์เพียง1 คน

            “ทำไมถึงสิ้นสงสัย” และสามารถลงโทษได้ เพราะการเป็นสมาชิกกระบวนการชื่อยาว อันเป็นความผิดฐานซ่องโจร ทั้งที่การเป็นเป็นสมาชิกกระบวนการเหล่านี้ มันมิได้พิสูจน์ง่ายเหมือนเป็นสมาชิกร้านเช่า ดีวีดี สมาชิก TESCO LOTUS ที่จะมี CLUB CARD เอาไว้แสดงตัวตนหากแต่นี้มันสมาชิกกระบวนการที่ต้องเปี่ยมด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้า จนถึงขนาดกล้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เสี่ยงต่อการเสียอิสรภาพ ถูกจองจำจนวันตาย ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ลึกลงถึงความคิดความอ่าน ที่ลึกลงไปถึงขั้นทัศนคติเลยหรือ เท่าที่เห็นไม่ได้มีการสืบค้นลงลึกถึงเพียงนั้นในกระบวนการ ลำพังเพียงการกล่าวหาว่ามีการร่วมฝึกอาวุธที่นั้นที่นี้ มีการกระทำความผิดอันถือเป็นการแสดงเจตนาร่วมกระบวนการ ที่กล่าวอ้างมาก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าเขาได้กระทำจริง ไม่ใช่แค่แพะที่ร้องแบะๆกันเต็มพื้นที่ แลหากทราบจริงว่ามีการฝึกอาวุธหรือจัดตั้งกองกำลังกันที่นั้นที่นี้จริง เหตุใดไม่ทำการปราบปรามอย่างจริงจัง หากเรายอมรับการเอาแต่เพียงข้ออ้างลอยลมมาทำการตัดสิ้นชี้ผิดชี้ถูกคนอยู่เช่นนี้ คงอีกไม่นาน การออกกายบริหารให้ร่างกายแข็งแรง การเล่นฟุตบอล การซิตอัพ การวิดพื้นหรือแม้แต่การทำมาหาเลี้ยงครอบครัวแบกหินแบกปูน กวนปูน กรีดยาง ออกเรือเหวี่ยงแห ลากแหหาปลาจนกล้ามมัดขึ้น จะมิถูกกล่าวหาว่าผ่านการฝึกอาวุธและเตรียมพร้อมร่างกายจากกรระบวนการจนหมดสิ้นหรือ ครานี้มิมีสมาชิกผู้ก่อการกันคงเต็มเมือง ด้วยเขาเหล่านั้นมิได้มีวาสนาสูงได้เป็นบัณฑิตย์บนหอคอยงาช้างกันทุกรูปนาม

            “ความชั่วร้ายที่จำเป็น” อีกประการที่มักสำแดงตนออกมาเสมอ เมื่อไม่มีประจักษ์พยานมายืนยันความผิด แต่ต้องเอาผิด คือการเชื่อเอาเองว่า ผู้จัดทำบันทึกปากคำ หรือคำให้การ หรือข้อมูล หรือข้อเท็จจริง หรืออะไรก็สุดแต่จะเรียกกันเอาเถอะ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลคือเจ้าหน้าที่รัฐทั้งสิ้นนั้น ไม่เคยปรากฏว่ามีเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ไม่น่าที่จะกลั่นแกล้งหรือชุ่ย   แต่ถึงแม้ไม่เคยมีเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนจนจะปรักปรำให้ต้องรับผิดก็เถอะ แล้วประโยชน์ที่เป็นผลงานความดีความชอบได้เลื่อนชั้นยศ เพิ่มอำนาจวาสนาละผลประโยชน์ทั้งนั้น แล้วอคติที่ถูกฝังหัวกันทั้งประเทศนั้นละ ไม่มีมูลให้สงสัยความโปร่งใสในการทำหน้าที่เลยหรือ?

            เพียงเท่านั้นยังไม่พอทั้งที่มันสุดจะกล้ำกลืนฝืนทนแล้ว ไม่นานมานี้ แต่ภายหลังอันวาร์ถูกจองจำอยู่ในเรือนจำมาหลายเดือนแล้ว กลับมีเอกสารออกโดยเจ้าหน้าที่รัฐ มาตามจับตัวอันวาร์ ที่บ้านอีกเพื่อขอตรวจ DNA อันวาร์อ้างเหตุสงสัยว่าเป็นผู้ก่อเหตุฆ่าตัดคอพระสงฆ์ และฆ่าข้าราชการครูคนหนึ่ง ทั้งที่เขาอยู่ในเรือนจำขณะเกิดเหตุ

            ดูเอาเถิดท่านผู้ทรงธรรมทั้งหลาย คงพอตรึกรู้ได้ด้วยตนว่าหากอันวาร์มิใช่ผู้มีอาคมจนจำแลงแปลงร่างเป็นนกหนูออกมาจากเรือนจำ หรือเล่นแร่แปลธาตุจนกำบังกายหายตัวได้แล้ว ย่อมเป็นประจักษ์ได้ว่าทั้ง 2 เหตุการณ์ ไม่เกี่ยวข้องกับอันวาร์แน่แท้

            เพียงหวังให้เราท่านทั้งหลายพิจารณาด้วยตนว่า เช่นนี้แล้วกระบวนการยุติธรรม ที่ผ่านมาสำหรับชายคนนี้ โดยต้นธารแห่งกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ไร้ซึ่งความละเอียดรอบคอบจนมีประจักษ์ เป็นเอกสารประจารตนเช่นกรณีนี้ อันวาร์จะใช่ผู้ที่ไม่โชคดีได้เป็น1 ใน 100 คน ของผู้ที่ได้รับการยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ ใช่หรือไม่?

            แลหากกระบวนการยุติธรรม ทำให้มืดมนเช่นนี้ ราษฎร์ผู้ทุกทนทั้งหลายจะหันหน้าไปพึงพากระบวนการใดได้อีกเล่า เราท่านเคยตั้งคำถามกันบ้างหรือไม่ว่า หากมนุษย์ถูกรังแกจนถึงที่สุด และไม่มีกระบวนการใดให้พึงพาเรียกร้องให้ยุติปัญหาโดยธรรมได้แล้ว หนทางใดที่เขาจะตัดสินใจเดินไป ใช่การตอบโต้กลับด้วยตนของตน หากทำให้เขาสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อ ไม่สิ้นสุดแล้ว ถึงที่สุด เขาจะโต้คืนด้วยความสูญเสียและเลือดเนื้อด้วยหรือไม่ ฤๅต้องรอให้เลือดล้างด้วยเลือดจนค้าวเลือดฟุ้งทั้งแผ่นดิน จึงจะยุติธรรมโดยเป็นธรรมเสียที

หมายเลขบันทึก: 565014เขียนเมื่อ 31 มีนาคม 2014 11:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 31 มีนาคม 2014 11:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ตามมาให้กำลังใจทีมงาน

เป้นพื้นที่เปราะบางมาก

แต่ยังเชื่อมั่นว่า ความยุติธรรมยังมีจริงครับ

สู้ๆครับ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท