การกลับบ้านของลูกๆ ในแต่ละครั้ง มักมีกิจกรรมให้พวกเขาลงมือทำอยู่อย่างต่อเนื่อง กิจกรรมที่ว่านั้นมีทั้งกิจกรรมในครัวเรือน และกิจกรรมในระดับชุมชน
ถึงแม้น้องดิน-น้องแดน จะเข้าโรงเรียนที่มหาสารคาม และก่อนนั้นกว่าจะกลับบ้านแต่ละครั้งก็นานๆ ที เรียกได้ว่าปิดเทอมโน่นแหละถึงได้กลับไปใช้ชีวิตในแบบเต็มสูบ ดังที่ผมเรียกว่า “เรียนพิเศษที่บ้านนอก” นั่นเอง
กระนั้นก็เป็นที่น่าสังเกตว่า ถึงแม้จะไม่ค่อยได้กลับบ้านบ่อยนัก แต่สายสัมพันธ์ระหว่างลูกๆ กับเพื่อนๆ และพี่ๆ ในหมู่บ้านกลับแน่นแฟ้นกลมเกลียว จนดูเหมือนว่ากลุ่มคนเหล่านั้นต่างล้วนตั้งตารอการกลับไปของน้องดินและน้องแดนอยู่เป็นประจำ
แน่นอนครับ, ในสมัยที่ “แม่” ยังมีชีวิตอยู่ เด็กๆ จะแวะมาถามไถ่เสมอว่า “เจ้าสองหนุ่ม" ของผม จะกลับบ้านบ้างมั๊ย
ครับ, สำหรับพวกเขาแล้ว คงไม่ใช่แค่การได้เจอกัน มีขนมนมเนยให้ได้กิน มีเรื่องเล่าอวดอ้างจากต่างพื้นที่ หากแต่หมายถึงการมีกิจกรรมสร้างสรรค์ได้ทำร่วมกันต่างหาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่ยึดโยงกับวิถีชุมชน ...
ระยะหลังเห็นได้ชัดว่าน้องดินและเพื่อนพ้องร่วมรุ่นหันเหเข้าไป “เล่นในวัด” ถี่ขึ้น ส่วนหนึ่งคงเป็นผลพวงของการได้ “บวชเณร” มาเป็นระยะๆ จึงพลอยให้เป็นเส้นทางสายบุญให้น้องดินได้หวนกลับเข้าวัดอยู่เนืองๆ มิหนำซ้ำยังใช้พื้นที่ในวัดเป็นที่นัดหมายกับเพื่อนๆ ในการวิ่งเล่น พูดคุย และอื่นๆ จิปาถะ จนระยะหลังกิจกรรมในวัดล้วนออกมาในรูปของการบำเพ็ญประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ
เช่นเดียวกับสองสัปดาห์ล่าสุด ทันทีที่น้องดินกลับถึงบ้าน สิ่งแรกที่ถาม “พ่อปู่” และ “แม่นา” (พี่สาวคนเดียวของผม) ก็คือ “เพิ่นสิทาสีวัดบ่”...
ครับ, น้องดินรู้ดีว่าชุมชนกำลัง “ทาสีประตูโขง” (วัด) หากแต่เป็นการงานของพระในวัด ไม่ใช่การรับเหมาก่อสร้างใดๆ รวมถึงการลงแรงของชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคณะกรรมการวัดนั่นแหละ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ชัดเจนว่าแต่ละคนล้วนรุ่นใหญ่ (ลายคราม) กันทั้งสิ้น จึงไม่สะดวกที่จะปีนป่ายขึ้นไปทาสีซุ้มประตูวัดได้เป็นแน่ ด้วยเหตุฉะนี้จึงเป็นภารกิจของเด็กๆ ในหมู่บ้าน....และเป็นผลพวง หรืออานิสงส์การเรียนรู้ของน้องดินและเพื่อนๆ อย่างเสร็จสรรพ เพราะคงไม่สามารถรั้งรอ หรือส่งมอบภารกิจนี้ไปยังวัยรุ่นหนุ่มสาวได้อย่างเป็นมรรคเป็นผล
กรณีดังกล่าวนี้ ผมไม่อิดออดที่จะฉุดรั้งและทัดทานใดๆ ไม่พูดแม้กระทั่งว่าต้องดูแลตัวเองอย่างไร หรือต้องระมัดระวังอะไร เพียงแต่ย้ำว่า “ดูแลน้องให้ดีๆ ...ตั้งใจ และอย่าเกเร...”
ด้วยเหตุนี้น้องดิน จึงหายเงียบเข้าวัดตั้งแต่เช้า ครั้นบ่ายคล้อยก็ไปเตะบอลที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน จากนั้นจึงกลับเข้าบ้าน ส่วนน้องแดน (เจ้านักเลงลูกทุ่ง) ไม่นิยมไปไหนไกล ติดนิสัยอ้อนออดและอยู่ข้างกายของ “แม่ย่า” ดังนั้นจึงออกไปในแนวหลบหายไปเที่ยวเล่นอยู่ตามบ้านพี่ๆ น้องๆ .. จับโน่นนี่พอเป็นพิธี จากนั้นจึงค่อยติดตามไปวัดเพื่อเกาะติดสถานการณ์ และรอเวลาเข้าทีมเตะบอลนั่นแหละ...
ครับ, นี่คือเรื่องราวการเรียนพิเศษที่บ้านนอกของลูกๆ ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์....
เป็นการเรียนพิเศษด้วยหลักคิดของการ “ใช้ชีวิต” ใน “บ้านเกิด” และเรียนรู้ผ่านการ “ลงมือทำ” (เฮ็ดจริง) ...เน้นความสุข สนุกสนาน และได้งาน ได้เหงื่อ...
แต่สำหรับผมแล้ว ยังเร็วเกินกว่าที่จะถามพวกเขาว่า “ทำแล้วได้อะไร...”
หากแต่ที่ถามซ้ำๆ อยู่เป็นประจำ คือ “วันนี้ทำอะไร...เหนื่อยมั๊ย...อาทิตย์หน้ามีอะไรต้องกลับมาทำอีกหรือเปล่า....”
ส่วน “ทำแล้วได้อะไร..” ผมเชื่อว่าอย่างน้อยซักวันพวกเขาจะตอบได้อย่างฉะฉาน ถึงผมไม่ถาม พวกเขาย่อมรู้คำตอบเหล่านั้นด้วยตนเองอยู่ดี
ผมเชื่อเช่นนั้น ครับ
...ชื่นชม และประทับใจมากๆค่ะ
เป็นแบบอย่างที่ดีในการบ่มเพาะเยาวชนเช่นนี้ค่ะ
สวัสดีครับ คุณมะเดื่อ
หอมกลิ่นลมร้อนปนมาเรื่อยๆ คิดถึงนาฏกรรมชีวิตหน้าแล้งที่กำลังมาถึงเป็นที่สุดครับ ขณะหนึ่งพลอยได้นึกถึงภาพวัยเด็กที่เคยยิงนกตกปลาในหน้านี้ --
สวัสดีครับ ดร. พจนา แย้มนัยนา
ผมได้แต่หมายใจว่า กิจกรรมเหล่านี้แหละจะกลายเป็นทุนชีวิตที่ดีของลูกๆ ในการใช้ชีวิตในสังคม และหนักแน่นกับเรื่องรากเหง้าของตัวเอง...
ผมอธิษฐานลึกๆ เช่นนั้น ครับ
สวัสดีครับ พี่ใหญ่ นงนาท สนธิสุวรรณ
การบ่มเพาะเด็กและเยาวชนผ่านกิจกรรมที่บันเทิงเริงปัญญา น่าจะเป็นทางออกที่ดีและมีพลังในการบ่มเพาะและเสริมสร้างทักษะชีวิต หรือทักษะการเรียนรู้ของเด็กๆ ...นั่นคือสิ่งที่ผมเชื่อและยึดมั่นเสมอมาครับ
ขอบพระคุณครับ
..ชื่นชมนะคะเป็นเด็กที่มีความคิด คิดดีดีนะคะ ....
อยากกดชอบให้สักร้อยหนครับท่าน :-)...เมื่อเช้านี้ผมนึกถึง พรบ.คณะสงฆ์ "วัดเป็นนิติบุคคล" ทำให้คนและวัดห่างกัน เพราะวัดไม่ใช่ของเราอีกต่อไป ดังนั้น จะทำอย่างไร ให้คนรุ้สึกว่าวัดยังเป็นของหมู่บ้านและทุกคนที่จะช่วยกันทำนุบำรุงส่งต่อไปถึงลูกหลานต่อไป
ครับ อาจารย์ Dr. Ple
สำหรับลูกๆ แล้ว โลกและชีวิตเขายังกว้างใหญ่และยาวไกลมากเลยครับ ได้แต่หวังว่า กิจกรรมสร้างสรรค์เหล่านี้ จะกลายเป็นพลังชีวิต -หมุดหมาย หรือแม้แต่ ตาชั่งความดีที่ถ่วงดุลจิตใจของเราอยู่ตลอดเวลา ครับ
ครับ อ.nmintra
พรบ.วัด เป็นนิติบุคคล ก็ชวนคิด
แต่ผมก็ยังเชื่อว่า วัดกับผู้คนจะยังห่างเหินและห่างหายกันไปมากหรอกนะครับ ยกเว้นวัดในตัวเมืองใหญ่ๆ หากแต่วัดในหมู่บ้าน ความสัมพันธ์จะยังคงอยู่ พึ่งพิง และเกี่ยวรัดกันอย่างแยกไม่ออก ครับ