ในชีวิตของผมจนถึงวันนี้ มีรถยนต์ใช้อยู่ 2 คัน ก่อนหน้านี้มีรถจักรยานที่เคยใช้ 2 คัน (หาย 1 ให้เขา 1) และมอเตอร์ไซด์ 2 คัน (ซ่อมแล้วไม่คืน 1 ให้เขาอีก 1)
รถคันแรกในชีวิตเป็นรถกระบะ NISSAN Big M รุ่นเบนซิน (ไม่ได้ค่าโฆษณานะ) ซื้อมาเดือนพฤษภาคม 2536 ราคา 235,000 บาท เหตุที่ซื้อ เพราะมีคนจะยืมเงิน แต่สุดท้ายไปกู้มาจากสหกรณ์แล้วเขาไม่ยืม เพราะว่าหาที่อื่นได้มากกว่า เมื่อมีเงินอยู่ในมือแล้วจึงต้องใช้ ทำอะไรดี? ซื้อรถดีกว่า (กู้มาได้ 180,000 บาท ต้องหามาเพิ่มอีก) ที่ต้องซื้อรถ เพราะว่าจะเอาไว้ขนหีบเลี้ยงผึ้ง และเผื่อจะได้บริการครอบครัวไปด้วย
ซื้อมาได้ 1 ปี กับ 6 เดือน วันหนึ่งในเดือนธันวาคม 2537 ขณะที่อยู่ในบ้านพักรับรอง หนึ่งในสองหลังของมหาวิทยาลัยนเรศวร หนองอ้อ (รุ่นบุกเบิก) มีคนมาขโมยรถของเราไป และขังเราไว้ในบ้าน (มีคนในบ้านมากกว่า 1 คน) ต้องเสียเวลาอยู่ในบ้านนาน เมื่อออกมาได้ก็ตามไม่ทันแล้ว (ตอนนั้นไม่มีโทรศัพท์ภายในบ้าน และยังไม่รู้จักโทรศัพท์มือถือ) ได้ไปหารปภ มหาวิทยาลัยและโทรแจ้งตำรวจ (ดร.ชรินทร์ อัมพรสถิตย์ เพื่อนบ้านดำเนินการให้) ตำรวจสายตรวจมาดูที่เกิดเหตุและให้ไปแจ้งความในวันรุ่งขึ้น
พอไปแจ้งความ ก็ต้องแจ้งความกับตำรวจร้อยเวรจราจรในวันและเวลาที่เกิดเหตุ แต่ร้อยเวรออกจากเวรไปแล้ว ต้องมาแจ้งกับร้อยเวรคนนั้นใหม่ในวันรุ่งขึ้น (เสียเวลาไป 1 วัน) พอวันรุ่งขึ้นก็ไปอีก ร้อยเวรก็สอบสวนผมอีก 1 วัน ผมแจ้งเบาะแสว่า น่าจะมาจากร้านที่เอารถไปซ่อม (ก่อนหน้านี้มีอุบัติเหตุขับรถไปชนป้ายบอกทางของกรมทางหลวง กันชนยุบ ซ่อมไป 2 หมื่น ดร.วีรเทพ พงษ์ประเสริฐให้ยืมเงินไปซ่อม) ร้อยเวรก็บอกสายสืบกำลังสืบอยู่ ต่อจากนั้นคดีก็ไม่มีความคืบหน้า ความหวังที่จะได้รถคืน ค่อย ๆ ลดลงจาก 50 เปอร์เซนต์ มาเหลือ 0 (ในเวลา 3 เดือน หลังจากนั้นต้องทำใจ ผ่อนกุญแจรถไป)
พอรถหาย พี่ชายคนหนึ่ง (ในหลายคน) ได้รถประจำตำแหน่งมาใหม่ เลยบริจาครถยนต์กระบะส่วนตัวมาให้ (ซื้อมามิถุนายน 2532) ในปลายเดือนธันวาคม 2538 (รถใช้แค่ 6 ปี ในกรุงเทพฯ) เป็นรถ Mitsubishi Cyclone L200 คันนี้เอาไว้เล่าต่อตอนต่อไป
เล่าเรื่อง Nissan ต่อ ก่อนที่รถจะถูกขโมย 2 เดือน ผมได้คุยกับรศ.ดร.สุมาลี สุทธิประสิทธิ์(เกษียณอายุราชการจากคณะเกษตรฯ ไปหลายปีแล้ว) ว่าผมไม่เคยขโมยของใครดังนั้นไม่กลัวของหาย อ.สุมาลี เลยบอกว่า ชาตินี้อาจจะแน่ใจว่าไม่เคยขโมย แต่ชาติก่อนรู้ได้ไหมว่าไม่เคยขโมย (น่าคิด) หลังจากนั้น 2 เดือน รถผมก็ถูกขโมยไป
มีอาจารย์หลายคนเป็นห่วงเป็นไย พาผมไปเที่ยวให้พระ(หมอดู)และฆราวาส(หมอดู) ช่วยดูเรื่องรถหายให้ สรุปว่าดูไปคนละอย่าง ไม่เหมือนกัน (ข้อเท็จจริง หมอดูจะดูเรื่องราวที่ผ่านมาคือเรื่องอดีต แม่นกว่า เรื่องในอนาคต เพราะอนาคตมันยังไม่เกิด) ทำให้ผมได้รับประสบการณ์เรื่องการให้หมอดู (ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องการทำนายทายทัก และไม่เคยให้หมอดูมาก่อน จะมีก็ 2 ครั้งนี้แหละ เพราะผมเชื่อเรื่อง กฎแห่งกรรมครับ)
ด้วยความเชื่อในกฎแห่งกรรม ในอดีตชาติ ผมอาจจะไปเอาของของใครมาแล้วไม่ได้คืน จึงทำให้มีคนมายืมรถผมไปใช้ ต่อจากนั้นผมก็ทำใจ (ไม่ทุกข์ เพราะไม่รู้จะทุกข์ไปทำไม รถเป็นของนอกกายไม่ตายก็หาใหม่ได้ ดูเหมือนคนที่ทราบว่ารถของผมถูกขโมยจะทุกข์กว่าผมเสียอีก) ยอมรับสภาพในการผ่อนกุญแจรถ
ผมได้วิเคราะห์ต่อไปว่า ที่รถหาย (เพราะถูกขโมย) นี้ เพราะรถมารับกรรมแทน ถ้ารถไม่หายผมอาจจะขับรถไปและเกิดอุบัติเหตุจนสูญเสียอวัยวะ และรถอาจจะพังจนใช้การไม่ได้ (ไม่มีประกันด้วย) หลายคนอาจไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่หลายปีต่อมามีอาจารย์ท่านหนึ่ง อายุพอกับผมในขณะนั้น ขับรถแล้วหลับในเกิดอุบัติเหตุขาหัก
ในเดือนพฤษภาคม 2541 ผมได้รับจดหมายจากสถานีตำรวจเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ให้ไปดูรถของกลาง ไม่มีแผ่นป้ายทะเบียน แต่ตรวจสอบประวัติดูแล้วน่าจะเป็นรถของคุณ ให้เดินทางไปดูด้วย..........
และอีก 2 ปีครึ่งถัดมาก็มีคนเข้ามาอ่านค่ะ แม้ว่าจะมีคนอ่านเพิ่มขึ้นอีกเพียง 70 กว่าครั้งเท่านั้น นับจากที่คุณเปมิชเก็บสถิติไว้ให้
ข้อดีของการเขียนแบบที่เป็น digital archive ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ สิ่งที่เขียนไว้จะถูกค้นกลับมาอ่านง่ายโดยผ่านการเชื่อมโยงของระบบ เข้า และสิ่งที่อ.beeman เขียนไว้นี้ อ่านเมื่อไหร่ก็ได้ข้อคิดเมื่อนั้น ไม่สูญหายลอยลมไปหากเป็นเพียงการพูดเล่าเรื่องให้ใครฟัง หรือมีคนได้อ่านน้อยกว่า 165 ครั้งหากเป็นเพียงไดอารี่ส่วนตัว
ขอบคุณคุณเปมิชที่เขียนเรื่องรถไฟตกราง จนโยงใยให้ได้กลับมาอ่านบันทึกนี้ค่ะ
เรียน คุณโอ๋-อโณ
ตอนที่คุณเปมิชถามนั้น แกไม่ได้อ่านบันทึกนี้ซึ่งมีอยู่ ๓ ตอน ติดต่อกัน ผู้ซึ่งอ่านจบ ๓ ตอน แล้วแสดงตนคือท่านอาจารย์ธวัชชัยครับ ทั้ง ๓ ตอนที่ว่า ค้นหาได้ด้วยคำว่า รถยนต์ ซึ่ง ๓ ตอนนั้นคือ
ขอบคุณสำหรับการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ที่เป็นข้อคิด..และให้กำลังใจในการเขียนบันทึกต่อไป..