คนทั่วไป ชอบพูดง่ายๆว่า "จงมีสติ" หรือ "อย่าขาดสติ"
หรือ แม้แต่ภาษากฏหมาย "ทำด้วยอาการขาดสติ" ก็ได้ยินบ่อยๆ
พูดยังกะว่า "สติ" เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ และ "การขาดสติ" เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น หรือ ไม่น่าเกิดขึ้นอย่างนั้นแหละ
ทั้งๆที่ สติ มีความหมายลึกซึ้ง แยกแยะได้หลายระดับมาก
ที่ขึ้นอยู่กับระดับความรู้ และความเข้าใจ สิ่งต่างๆที่มีในธรรมชาติ
ทั้งระดับกายภาพ และจิต-วิญญาณ
จนอาจพูดได้ว่า ถ้าจะพูดแบบ "โต้วาที" เพื่อเอาชนะกันนั้น คนส่วนใหญ่ "ขาดสติ" กันทั้งนั้น
เพราะ ที่จริง คำที่พ่วงต่อและควรอยู่ด้วยกันเสมอ
สำหรับคนที่มี "สติ" ก็คือ "สติ" และ "สัมปชัญญะ"
และคำว่า สัมปชัญญะ ก็ยังมีแขนงย่อย แบบใหญ่ๆ หลักๆ ออกอีก 4 สาขา คือ
1. รู้ชัดว่ามีประโยชน์ (หรือตระหนักในจุดหมาย)
2. รู้ชัดว่าเป็นสัปปายะ (หรือตระหนักในความเหมาะสมเกื้อ
3. รู้ชัดว่าเป็นโคจร (หรือตระหนักในแดนงานของตน)
และ
4. รู้ชัดว่าไม่หลง (หรือตระหนักในตัวเนื้อหาสภาวะ ไม่หลงใหลฟั่นเฟือน)
แค่หลักใหญ่ๆทั้ง 4 นี้ ก็จะพอนึกออก ว่า เราอาจจะ "ขาดสติ" ได้โดยง่าย
ดังนั้น จึงเป็นธรรมดามากๆ ที่คนเราจะ "ขาดสติ"
ในหน้าที่ของ "มนุษย์ (ผู้มีจิตใจสูง) เราจึงต้อง "พยายาม" เจริญสติ เนืองๆ
แค่เริ่มที่ "สัมปชัญญะ 4" นี้ก่อนก็ได้ครับ
แต่ในหลักธรรมนั้น มีอีกเป็นร้อยๆประเด็นครับ
อย่าพูดพล่อยๆ แบบ "ขาดสติ" ครับ
อิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิ
เห็นด้วยค่ะ "สติ" คำสั้น ๆ เขียนง่าย ๆ แต่รักษาสติให้มีอยู่ตลอดได้ยากจริงๆ ต้องอาศัยการฝึกฝน หมั่นตามดูรู้กายใจเสมอ ๆ ถ้าเผลอสติก็หาย ยิ่งหากโกรธมาก สติขาดได้ง่ายจริง ๆ ค่า
อ่านข่าวสารบ้านเมืองช่วงนี้ผมได้มีโอกาสฝึกสติ (และสัมปชัญญะ) เยอะทีเดียวครับ
จาก "ไหว้พระเก้าวัด"
สัมมาสติ
...องค์พระ"สอง" "ครองสติ" ผลิสำนึก
พิศเพ่งฝึก รอบคอบ ผิดชอบไสว
มิปล่อยลอย พลอยพยัก โลกีย์ไป
ดำรงไว้ "รู้ตัว" ชั่วฤๅดี
พูด พล่อยๆ..แถมเพ้อเจ้อ..น่าจะ..เป็นหนทางลัดที่เดิน..ไปสู่.."สุขคติ"..ได้อย่างรวดเร็ว..อ้ะะะะะะ...(จึงมีผู้..หลงเชื่อ..กัน..เป็นจำนวนหนึ่ง...ที่ขาด..สติ...มั้งงง....)...
Like "จิต วิญญาณ" (citta & vi~n~naana), "สติ & สัมปชัญญะ" are both very difficult to understand and differentiate.
I used to play badminton with my partner. I had physical advantages and practical experiences, but I payed for exercise in mind - not winning or showing off. My shots were aimed at making my partner reach out for a little more while keeping the shuttle cock well within the confinement of the court. I kept in mind that I could learn to be more accurate in play and raising my skill as well as my partner skill in a friendly and enjoyable game. We played every evening well into sunset for many months before a dead tree fell on my right foot and crippled me for a few months.
Now I no longer have physical advantages over my partner and my eyes are also failing. Badminton is no longer a game we play for enjoyment of full awareness but it is a game we both struggle to keep the play moving on.
In both cases awareness and comprehension (สติ & สัมปชัญญะ) of the situation are there! They are not so difficult to achieve using a game as a medium for practice.