รายงานผลการวิจัย ของมหาวิทยาลัยฟลอริด้าล่าสุดระบุว่า อัตราการขาด ลา มาสายสูง การทำงานเฉื่อยชาและการออกจากงานสูงในองค์กรเกิดจาก
หัวหน้าไม่รักษาคำสัญญา 39.00%
หัวหน้าไม่เห็นความสำคัญ 37.00%
หัวหน้าเงียบเฉยเกือบตลอดปีที่ผ่านมา 13.00%
หัวหน้ามักตำหนิต่อหน้าเพื่อนพนักงานอื่นหรือผู้จัดการอื่นๆ 8.00%
หัวหน้าก้าวล้ำสิทธิส่วนบุคคลมายุ่งเรื่องส่วนตัวของลูกน้องมากเกินไป
หัวหน้าตำหนิผู้อื่นให้ฟังเพียงเพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาดบกพร่องของตัวเองหรือเพื่อลดความอับอาย
จึงน่าจะสรุปได้ว่า “อาการนายไม่เอาไหน” (Bad Boss Syndrome – BBS) เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตราการขาดงาน การทำงานเฉื่อยชา และการลาออก ของพนักงานสูง
ฉะนั้นเพื่อหลีกเลี่ยง “อาการนายไม่เอาไหน” (BBS) ในองค์การ ผู้จัดการและหัวหน้าแผนกทุกคนควรจะ
“รักษาคำสัญญา เมื่อได้ลั่นวาจาไปแล้ว, ให้เครดิตและให้การยอมรับในสิ่งที่ลูกน้องทำดี, พูดคุยกับลูกน้องโดยตรงเมื่อลูกน้องทำงานผิดพลาด, ทักท้วงหรือตำหนิลูกน้องเป็นการส่วนตัว แทนที่จะนินทาลับหลังให้ผู้อื่นฟัง, หลีกเลี่ยงการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของลูกน้องโดยการลดการเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของลูกน้องมากเกินไป, และยอมรับความผิดพลาดบกพร่องของตัวเอง โดยลดการกลบเกลื่อนด้วยการขอโทษแทนที่จะตำหนิบุคคลอื่นให้ลูกน้องฟัง”
ยิ่งถ้ามีลูกน้องเป็นเด็ก Generation Y มาก ๆ ด้วยแล้ว ยิ่งต้องหลีกเลี่ยงการเกิดอาการ BBS ให้มาก ๆ
น่าสงสารคนที่เป็นหัวหน้านะคะ...เงียบเฉยก็ไม่ได้ ว่ากล่าวตักเตือนก็เป็นการตำหนิ...
จริงครับ อาจารย์ มีสหายเล่าให้ฟัง เจ้านาย เป็นสาเหตุใหญ่ ให้ ทีมลาออกไปหลายท่านครับ
แล้วถ้าหัวหน้าเราละเมิดสิทของลูกน้องเกินไปละครับยกตัวอย่างเช่นล่าสุดเลยนะครับผมใด้ทำการโพสเฟสบุคส่วนตัวผมที่มีข้อความเขียนด่าคนอื่นแต่ไม่มีชื่อหรือระบุบริษัทที่ทำงานแต่หัวหน้างานผมไปเห็นก็เลยสั่งให้ผมลบเฟสที่ผมใด้โพสลงไปครับแล้วทางหัวหน้าจะให้ผมทำหนังสือรายงานความผิดครับอย่างนี้มันถูกหรือไม่ครับ