ข้าพเจ้าเป็นครูที่ปรึกษาโครงงานก็ได้ยินนักเรียนในความรับผิดชอบพูดเข้าหูบ่อยๆว่าเพื่อนปฏิบัติต่อเขาไม่เหมือนเดิม แต่ก็วางเฉยเพราะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยๆเด็กคงแก้ปัญหาเองได้ จนมาวันหนึ่งไปงานบุญบ้านเพื่อนครูที่โรงเรียน เพื่อนร่วมงานมาบอกว่าอาจารย์ไปเบิ่งอีนาง (นามสมมุติ) มันแน่ หมู่บ่เว้านำมัน มันอยากสิย้ายโรงเรียนแล้ว ในฐานะครูที่ปรึกษาข้าพเจ้าก็ตกใจอย่างยิ่งไม่นึกว่าเรื่องราวมันจะใหญ่โตขนาดนี้ นั่งขบคิดหาวิธีแก้ปัญหาทั้งค้นเจอวิธีการถอดความรู้สึกโดยใช้คำถาม รวมทั้งขอคำแนะนำจากคุณครูต๋อย(รร.ลำปลายมาศพัฒนา) พอถึงวันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2556 ซึ่งเป็นชั่วโมงฟิสิกส์ของข้าพเจ้า เนื่องจากห้องเรียนจัดแบบครึ่งวงกลมทุกคนก็นั่งประจำที่ ข้าพเจ้าก็ให้นักเรียนแต่ละคนพูดถึงข้อดีและข้อเสียของตนเอง พร้อมบอกเพื่อนในห้องว่าเพื่อนเราคนนี้ก็มีนิสัยแบบนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่เราจะคบกันเป็นเพื่อนเราต้องยอมรับความเป็นตัวตนของเพื่อน โดยมองข้ามข้อเสียของเพื่อน และมองแต่ส่วนดีๆ ส่วนเจ้าตัวเองก็ให้พยายามปรับตัวเข้าหาเพื่อน ไม่ใช่ให้เพื่อนปรับฝ่ายเดียว กระบวนการคิดไว้หลายขั้นตอน แต่เวลาเจ้ากรรมหมดอย่างรวดเร็ว 1 ชั่วโมง เลิกเรียนข้าพเจ้าได้เรียกนักเรียนที่มีปัญหามาสอบถามว่าเป็นไงบ้าง เขาบอกว่าไม่มีอะไรแล้วเพื่อนๆๆทุกคนเป็นปกติ โล่งอกไปที แต่ก็ต้องคอยติดตามต่อไปว่าพฤติกรรมจะถาวรหรือเปล่า (ไม่ได้ถ่ายรูปเพราะมันเป็นความลับ ไม่อยากเปิดเผย)
มาชื่นชมครับ.... ครูเพื่อศิษย์....
ง่ายมาก หากการทะเลาะเบาะแว้งนั้น ผู้ริเริ่ม คือ ผู้ที่ทำให้พ่อแม่ ถูกตำหนิ จากผู้พิพากษาที่ยุติธรรม ไม่รับสิ่งตอบแทน (พระเจ้า) ทุกคน
เด็กๆที่ศรัทธาว่า มีผู้พิพากษานั้นจริง ก็จะไม่ทำให้บัญชีพ่อแม่เสียหาย ถูกตำหนิ ถูกลงโทษ ง่ายมากๆ แต่วัฒนธรรมที่ปิดกั้น ทำให้ ความจริงไม่เกิด
ขอบคุณคะ อาจารย์ก็เช่นกันนะคะ