ผมได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมโรงเรียนบ้านหนองผักชี ที่อำเภอเนินสง่า จังชัยภูมิ มาแล้ว ๓ ครั้ง ทุกครั้งที่ไป จะกลับมาพร้อมกับความประทับใจเด็กนักเรียนชั้น ป.๑ ทุกครั้ง ประทับใจที่เด็ก ป.๑ ของคุณครูเพ็ญพัช แก้วคะตา กล้าคิด กล้าคยโต้ตอบกับผมอย่างไม่เคอะเขิน แต่ละคนมีตาเป็นประกายฉายให้เห็นความสุขในการสนทนา ผมเจอท่านอีกครั้งในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา จึงกลับไปค้นเรื่องของท่าน และขอนำเรื่องเล่าในแบบคัดกรองเพื่อรับการประเมินโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นตัวอย่างของ "เรื่องเล่าเร้าพลัง" ให้ผู้อ่านได้เรียนรู้ร่วมกันครับ
....ดิฉันได้รับ ทราบคำว่าหลักปรัชญาของเศรษกิจพอเพียงผ่านสื่อต่างๆ มาพอสมควร แต่มิได้ทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง เพราะเข้าใจว่าเป็นการใช้ชีวิตแบบไม่ฟุ่มเฟือยเท่านั้น จนกระทั่งโรงเรียนได้สมัครเข้าร่วมเป็นสถานศึกษาพอเพียงและได้รับการอบรม จึงมีความเข้าใจใหม่ว่า ปศพพ. เป็นหลักคิดในการทำงานหรือกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตของเราทุกคน เมื่อเข้าใจ ปศพพ. ดังนี้แล้ว ครั้งแรกดิฉันได้นำ ปศพพ. สู่นักเรียนชั้น ป.๑ ให้เข้าใจ โดยผ่านกิจกรรมปลูกผักในกระถางพลาสติกและการเพาะเมล็ดในถุงนมโรงเรียน โดยผักที่ปลูกนั้นเป็นผักที่บ้านนักเรียนใช้เป็นประจำและโตเร็ว เช่น หอม ผักชี คะน้า เป็นต้น โดยนักเรียนเป็นผู้นำพันธุ์ผักมาเอง ช่วยกันเตรียมดินโดยนำปุ๋ยคอกมาจากบ้าน และกิจกรรมเพาะเมล็ด เด็กเรียนรู้การเพาะเมล็ดที่งอกเร็วและเป็นพืชที่ใช้เป็นอาหารประจำวันได้ และมีในท้องถิ่น เช่น มะละกอ มะรุม ขนุน แค โสน เป็นต้น โดยขั้นตอนการปลูกทุกขั้นตอนเด็กได้ลงมือปฏิบัติและได้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ระหว่างการทำงานด้วยตนเอง เมื่อสิ้นสุดการปฏิบัติกิจกรรมแล้ว ดิฉันจึงเริ่มถามนักเรียนด้วยคำถาม "ทำไม" เช่น ทำไมครูให้นักเรียนปลูกผักใส่กระถางและเพาะเมล็ดใส่ถูกนม ทำไมนักเรียนนำเมล็ดแคมาเพาะ ทำไมเราจึงแช่เมล็ดก่อนเพาะ ฯลฯ เมื่อถูกถามและนักเรียนตอบ จนครบตามหลัก ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไขแล้ว ครูให้ความรู้ในเรื่องที่เรียนเพิ่มเติม แล้วจึงนำนักเรียนถอดบทเรียนและให้รูจัก ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไขของ ปศพพ. ที่ใช้ในการเรียนรู้และนำไปปรับใช้กับการทำงานอื่นๆ ได้ โดยสรุปให้นักเรียนเข้าใจ ปศพพ. คือความรอบคอบ และพร้อมในการแก้ปัญหาที่เกิดตลอดเวลา...จากกิจกรรมนี้จึงได้นำ ปศพพ. สู่การเรียนวิชาอื่นๆ เด็กมีความสุขในการอยู่ร่วมกันมากขึ้น มีความรอบคอบในการทำงานการเตรียมเครื่องเขียนมากขึ้น...
ผม เห็นทั้งวิธีคิด วิธีทำ เห็นภาพของผลลัพธ์ชัดเจน ร่องรอยของความสุขที่ติดมากับบางท่อนคำที่เมื่ออ่านแล้วความทรงจำของผมก็ผุด มารับทันกันไป....
ผมว่าสาเหตุที่นักเรียน ป.๑ กล้าคิดกล้าพูด เป็นเพราะวิธีสอนของครูเพ็ญพัช เน้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรม และกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นและการเรียนรู้ด้วยคำถาม โดยไม่ได้เน้นการเล่าบอกก่อน ....ทำไมเราจึงต้องแช่เมล็ดก่อนเพาะ... บ่งบอกว่าครูเพ็ญพัช ไม่ได้เล่าบอกบรรยาย เหมือนที่ครูทำกันทั่วไป
ผมเห็นความเข้าใจต่อ ปศพพ. ด้านการศึกษาที่ถูกต้องของครูเพ็ญพัชครับ....ปศพพ. เป็นหลักคิดในการทำงานหรือกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตของเราทุกคน.... ท่านเขียนง่ายๆ ตรงไปตรงมา แต่มีพลังยิ่งนัก
ผมเห็นเป้าหมายในที่นี้คือ อุปนิสัยพอเพียง ....ปศพพ. คือความรอบคอบ และพร้อมในการแก้ปัญหาที่เกิดตลอดเวลา... ที่ ครูเพ็ญพัช ปลูกฝังให้กับนักเรียนอย่างเป็นขั้นตอน ได้แก่ การเน้นให้ลงมือทำเองด้วยกิจกรรมใกล้ตัวใกล้ชีวิต กระตุ้นให้เรียนรู้ด้วยคำถาม และมีกระบวนการสะท้อนถอดบทเรียน อีกทั้งยังมีการนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปรับใช้ต่อไป..... ท่านแตกฉานด้านการจัดการเรียนรู้จริงๆ ครับ
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า เรื่องเล่านี้ยังสามารถพัฒนาขึ้นให้ดีได้อีก ในประเด็นต่อไปนี้
ขอบูชาคุณครูดีครูเพื่อศิษย์ ครูเพ็ญพัช แก้คะตา ครับ ....
ตามาเชียร์การทำงานของคุณครูบ้านหนองผักชี
ถ้ามีการเขียนบันทึกจะดีมากเลยครับ
ชอบตรงนี้มาก
เช่น หอม ผักชี คะน้า เป็นต้น โดยนักเรียนเป็นผู้นำพันธุ์ผักมาเอง ช่วยกันเตรียมดินโดยนำปุ๋ยคอกมาจากบ้าน และกิจกรรมเพาะเมล็ด เด็กเรียนรู้การเพาะเมล็ดที่งอกเร็วและเป็นพืชที่ใช้เป็นอาหารประจำวันได้ และมีในท้องถิ่น เช่น มะละกอ มะรุม ขนุน แค โสน เป็นต้น
หนูน้อย นะขอ (วสันตดิลกฉันท์ ๑๔)
...หนูน้อย นะขอ คุรุถนอม............แนะตะล่อม กมลงาม
เรียนรู้ สงบ สติ ผละทราม............ขณะซึ่ง สนุกเรียน
...เด็กน้อย นะคอย คุรุประคอง......จิตปอง ขยันเพียร
ทางธรรม จะมุ่งมุ ลุ บ่เบียน...........ปฏิบัติ ขจัดเข็ญ
ตะล่อม = ว. ลักษณะการพูดหว่านล้อมหรือรวบรัดให้เข้าสู่จุดหมายหรือเข้าประเด็น
เบียน = ก. รบกวน, ทําให้เดือดร้อน