บ้าน 2 ชั้นที่มักพบกันได้โดยทั่วไปตามหมู่บ้านในชนบท ชั้นบนจะเป็นไม้ ชั้นล่างครึ่งหนึ่งจะถูกปล่อยให้โล่ง มีแคร่ไม้ไผ่วางอยู่ตรงกลางของแคร่ไม้ไผ่ที่โล่งๆนั้น ส่วนอีกครึ่งหนึ่งของชั้นล่างถูกสร้างด้วยอิฐ หิน ดิน ทราย ให้กลายเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก เพื่อใช้เป็นที่นอนพักอาศัยของหญิงวัยชราผู้พิการด้านการเคลื่อนไหว
1 wks. ก่อนฉันได้รับมอบหมายให้ออกเยี่ยมบ้านผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง มันเป็นความยากลำบากในการที่เราจะตัดสินใจเลือกลงเยี่ยมบ้านผู้ป่วยสักราย เพราะในปัจจุบันนี้มีจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มากจนฉันเลือกไม่ถูก แต่พอฉันได้ดูประวัติผู้ป่วยรายหนึ่งที่มีโรคประจำตัวยาวเป็นหางว่าว อันได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไตวายเรื้อรัง นิ่วในไต เส้นเลือดในสมองตีบ กระดูกทับเส้นประสาท พิการด้านการเคลื่อนไหว มีแผลกดทับที่สะโพก แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่สะดุดความอยากรู้ของฉันได้เท่า “ ผู้ดูแล บุตรสาว( อสม) ”
หญิงชราที่มีผมเป็นสีดอกเทา แววตามีความมุ่งมั่น ใบหน้าอันเหี่ยวย่นบ่งบอกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิต กาลเวลาที่พรากเอาความสาวไปจากเธอแต่ก็ยังมีรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง สวมเสื้อคอกระเช้าลายดอกกับผ้าถุงผืนเก่าๆที่ซีดจนแทบจะจำลวดลายเดิมของเนื้อผ้าไม่ได้ มีสายสวนปัสสาวะโผล่ออกมาจากชายผ้าถุง ส่วนถุงปัสสาวะแขวนไว้ใกล้ๆใต้แค่ไม้ไผ่ นั่งอยู่ตรงกลางของแคร่ไม้ไผ่ยิ้มให้ทันทีที่เห็นฉันเดินเข้าไปหา เสื่อผืนเก่าที่ถูกวางอยู่บนแคร่ถูกคลี่ออก มือบอบบางที่มีรอยย่นปัดฝุ่นเบาๆราวกับที่นอนผืนนั้นคือของขวัญอันล้ำค่า เพียงแค่เห็นสิ่งที่หญิงชราแสดงออกมาฉันก็รีบยกมือไหว้พร้อมกับแนะนำตัวเองและนั่งลงข้างๆดังใจที่แกปรารถนา บ่อยครั้งที่เรานั่งพูดคุยกันฉันสังเกตเห็นว่าหญิงชรามักจะดึงชายผ้าถุงผืนเดิมที่สวมอยู่ขึ้นมาปิดบริเวณที่ขาทั้งสองข้าง ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่ว่า “ ขา” คือส่วนที่พิการ ทำให้แกเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้
“ คุณหมอ น้ำฝนเย็นๆจ้า” เสียงพูดอย่างเชื้อเชิญที่เจือไปด้วยความยินดี กับรอยยิ้มที่เปื้อนเต็มหน้าของหญิงวัยกลางคนที่สวมเพียงเสื้อเชิร์ตลายทางแบบผู้ชายกับผ้าถุงผืนซีดพร้อมกับขันน้ำที่ถูกยื่นมาด้านหน้าของฉัน นาทีแรกที่ลิ้นได้สัมผัสกับน้ำทำให้ฉันนึกถามตัวเองว่านานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้ดื่มน้ำฝนแท้ๆอันเย็นชุ่มช่ำอย่างนี้ ขณะที่ฉันดื่มน้ำสายตาก็เหลือบไปเห็นราวไม้ไฝ่ที่สูงกว่าแคร่ประมาณครึ่งศอก
“ ยาย ทำไมแคร่ไม้ไผ่ต้องมีราวแบบนี้ด้วยละ” ฉันถามพร้อมกับเดินไปจับๆลูบๆคลำๆที่ราวไม้ไผ่อันนั้น หญิงชรายิ้มพร้อมกับตอบว่า
“ พ่อใหญ่เผิ่นเฮ็ดให่ยายเอาไว้ดึงจะของเวลาสิลุกนั่ง”
“ แล้วยายอยู่อย่างนี้มีนักกายภพบำบัดเค้าออกมาเยี่ยมหรือแนะนำการออกกำลังกายอะไรบ้างไหมละ”
“ มี มี คุณหมอแนมเบิ่งนี่ติ” หญิงชราชี้นิ้วขึ้นไปบนฝาบ้านเหนือศีรษะที่แกนั่งอยู่ ลวดเหล็ก รอก เชือกและท่อพีวีซีถูกดัดแปลงให้เป็นอุปกรณ์ออกกำลังกาย
“ ลองเฮ็ดใหม่ๆกะปวดแขนไปเบิด ย้อยออกแฮงแขนดึงอย่างเดียว ขั่นบ่อดึงขามันกะบ่อยก แต่ว่าเยียวนิใคแน่บ่อเจ็บบ่อปวดคือเก่าแล้ว” นอกจากจะอธิบายเป็นคำพูดแล้วหญิงชรายังสาธิตวิธีการออกกำลังกายให้ดูอีก พร้อมกับบอกว่านี่คืออีกหนึ่งสิ่งประดิษฐ์ที่คุณตาสร้างขึ้นมาเพื่อแกโดยเฉพาะ ฉันเชื่อว่าถึงแม้คุณตาจะไม่ได้เอ่ยคำว่ารักหรือพูดจาหวานๆให้คุณยายได้ยิน แต่คุณยายก็ต้องรับรู้ได้จากการกระทำ จากสิ่งที่แสดงออกว่าคุณตารักคุณยายมากแค่ไหน
“ โห๋......คุณยาย ทำไมได้สามีเก่งอย่างนี้ละ แจ๋วมากเลยค่ะ” ฉันเก็บความชื่นชมความช่างประดิษฐ์ของสามีคุณยายในใจไว้ไม่ได้
“ ดีจัง!!!! อย่างนี้ยายก็ไม่เป็นแผลกดทับสิ”
“ เป็นอยู่คุณหมอ แต่ว่าเยี่ยวนิมันใคแน่กว่าเก่าหลายเติบ ย้อยว่าลูกสาวเผิ่นเฮ็ดนำดี พาไปหาหมอล้างแผล เฮียนวิธีล้างแผล แล้วกะมาล้างแผลเองอยู่เฮือน ยายวะเดี๋ยวมันกะเซาแล้วละ” หญิงชราตอบพร้อมกับพยายามจะยกสะโพกให้ฉันดู แต่ทำได้เพียงแค่เอียงตัวเล็กน้อย ลูกสาวที่คอยนั่งอยู่ข้างๆตลอดระยะเวลาที่เราคุยกันขยับเข้ามาใกล้ๆพร้อมกับช่วยคุณยายให้นอนตะแคง เปิดชายผ้าถุงเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ฉันได้เห็นแผลกดทับ แผลที่ก้นกบกว้างเท่าเหรียญหนึ่งบาทลึกแค่ชั้นผิวหนัง ไม่บวมแดง
“ วันนี้ยายทำแผลหรือยังละ ทำเลยสิจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาเปิดแผลใหม่อีกครั้ง” ฉันบอกลูกสาวของหญิงชราพร้อมกับขยับตัวให้ออกห่าง เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้ทำแผลได้สะดวกมากยิ่งขึ้นขณะที่ลูกสาวทำแผลฉันเหลือบไปเห็นเหมือนเป็นวงกลมลักษณะคล้ายกับหมอนที่ใช้รองแขนเวลาให้นมบุตร
“ หมอนใบนี้เอาไว้ทำอะไรเหรอค่ะ ”
“ เอาไว่ให่แม่เผิ่นนั่งยามเจ็บดาก น้าเป็น อสม. พอดีคุณหมอเผิ่นแนะนำ น้าเลยเอามาลองเฮ็ดเบิ่ง ยายเลากะวามันดีอยู่กะเลยใช้จนฮอดเมื่อนี่ ” ขณะที่ตอบคำถามฉันแผลที่ล้างก็เสร็จเรียบร้อยพอดี ลูกสาวของหญิงชราจึงเก็บอุปกรณ์ไปเก็บ ล้างมือ แล้วเดินเข้าครัวไปทำอาหารต่อ
“ ลูกสาวดูแลยายดีนะเนี่ย ”
“ แม่น!!! คุณหมอ มันเบิ่งดีแฮง 10 กว่าปีที่ผ่านมามีแต่ลูกเฮ็ดนำ โจมขี่ โจมเหยี่ยว คึดไปคึดมากะจักสิอยู่เฮ็ดหยั๋งคือจั่งจะของเป็นภาระของลูกหลาน ขั่นบ่อมีข่อยเผิ่นคือสิสำบายกว่านี่” ปากก็คอยพูดเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฉันฟังแต่สายตาของหญิงชราก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่คนเป็นลูก น้ำตาก็เริ่มไหลรินอาบแก้มอันเหี่ยวย่นทั้งสองข้าง ฉันจับมือหญิงชราแล้วบีบเบาๆ
“ ยายอย่าพูดอย่างนั้นสิ ชีวิตคนเรามันต้องต่อสู้ มันต้องมีความหวังสิค่ะ” ยิ่งฉันพูดน้ำตาของหญิงชราก็ยิ่งหลั่งรินออกมาเรื่อยๆ ฉันต้องใช้เวลาปลอบอยู่นานจนลูกสาวเดินออกมาลูบหลังหญิงชราพร้อมกับรอยยิ้มที่มีให้กับคนเป็นแม่อยู่ตลอดเวลา วันแรกของการไปเยี่ยมผู้ป่วยของฉันจบลงด้วยน้ำตา แต่ฉันตั้งใจเอาไว้แล้วว่าต้องมีครั้งต่อไป
เช้าวันใหม่ที่สดใส แสงแดดที่แรงมากขึ้นเรื่อยๆเริ่มลามเลียไปทั่วผิวหนังขณะที่ฉันเดินหามแปลนอนอันใหม่กับพี่ร่วมรุ่นไปตามทางเพื่อเข้าไปเยี่ยมหญิงชราคนเดิมไม่ได้ทำให้ความพยายามของฉันลดละลงไปได้เลย เพราะฉันตั้งใจเอาไว้แล้วว่าอย่างน้อยที่สุดนี่คงเป็นสิ่งเล็กๆที่ฉันจะทำเพื่อหญิงชราผู้นี้ได้ ภาพที่เห็นก็ยังคงประทับใจฉันอยู่ไม่แตกต่างจากวันแรกที่เจอ คุณตานั่งอยู่ข้างๆคอยช่วยพยุง ลูกสาวทำแผลให้ด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้าตลอดเวลาเช่นเดิม 3 สัปดาห์กับการที่ฉันได้มาสัมผัสความอบอุ่นของครอบนี้ทำให้ฉันได้รับคำตอบจากสิ่งที่ฉันหวังเอาแล้ว นอกจากนี้ฉันยังเห็นความหวังอีกมากมาย ในดวงตาของสามีหญิงชราที่หวังเพียงอยู่ร่วมกันจนวันตายแม้จะยากลำบากก็ยังคงดูแลกันมิเคยเปลี่ยน ในดวงตาของคนเป็นลูกก็หวังเพียงให้แม่อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรกับลูกหลานไปนานๆ ส่วนหญิงชราผู้เป็นแม่ก็เพียงหวัง
ยามแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้
ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา
เมื่อถึงยาม ต้องตาย วายชีวา
หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ
ไม่รู้จะอีกนานเท่าไร ที่พวกเรา ชวนสาสุข จะช่วยให้ให้ไม่เกิดสภาพเช่นนี้ได้
มาเป็นกำลังใจ..จ้ะ...กับผู้ทำงาน..และ..ความชรา..อันเป็น..ที่สุดของสังขาร..ทั้งหลายทั้งปวง...