เมืองเชนไน, ประเทศอินเดีย
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒
กราบเท้า มายังคุณแม่ที่เคารพอย่างสูง
คุณแม่อยู่ทางเมืองไทยเป็นอย่างไรบ้างครับ สบายดีหรือเปล่า ส่วนผมอยู่ทางอินเดียก็สบายดีเช่นเดิมคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง พี่ ๆ และหลานทุกคนคงสบายดีเช่นกันนะครับ อย่างไรก็ตามผมต้องขอร้องคุณแม่อย่าได้ทำงานหนัก เพราะมันจะเป็นการทำลายสุขภาพของคุณแม่ เนื่องจากคุณแม่อยู่ในวัยที่ต้องพักผ่อนให้มาก สภาพร่างกายของคุณแม่รับกับการทำงานหนักไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณแม่ต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีที่สุด อย่างน้อยลูกหลานทุกคนจะได้สบายใจ และเมื่อลูก ๆ ไม่ต้องกังวลกับสุขภาพของคุณแม่ ทุกคนก็จะได้ตั้งหน้าทำภารกิจของตัวเองได้โดยไม่กังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมก็จะได้ทุ่มเทกำลังความคิดและสติปัญญาทั้งหมดให้กับการศึกษาได้อย่างเต็มที่ อีกอย่างตัวคุณแม่เองก็ตรากตรำทำงานหนักมาตลอด เพราะฉะนั้นในช่วงนี้ของชีวิต คุณแม่ควรที่จะปล่อยวางภารกิจการงานให้ลูก ๆ คุณแม่ไม่ต้องกลัวหรอกว่าคุณแม่ไม่ทำแล้วจะไม่มีใครทำ คุณแม่ต้องคิดว่าเมื่อคุณแม่ไม่ทำคนอื่นเขาก็จะเข้ามาทำเอง
การที่ผมขอร้องให้คุณแม่ปล่อยวางภารกิจการงาน นอกจากต้องการให้คุณแม่รักษาสุขภาพร่างกายแล้ว ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือผมต้องการให้คุณแม่หันมาใส่ใจกับเรื่องของการพัฒนาจิตใจ ผมอยากเห็นคุณแม่มีความสุขอยู่กับการทำบุญทำทานเข้าวัดฟังธรรม รักษาจิตใจของตัวเองให้สงบโดยไม่ต้องมาสนใจหรือยุ่งเกี่ยวกับปัญหาความวุ่นวายต่าง ๆ ของชาวบ้าน ผมอยากให้คุณแม่วางตัวเหนือปัญหาต่าง เพราะทุกคนโดยเฉพาะลูกหลานต่างให้ความรักและเทิดทูนคุณแม่ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครเขาอยากเห็นคุณแม่ลดตัวลงมาวุ่นวายกับปัญหาต่าง ๆ ที่ไม่มีวันจบสิ้น สำหรับตัวผมนั้นถือว่าคุณแม่เป็นพระอรหันต์ เพราะจิตใจที่คุณแม่มีต่อลูกนั้นเป็นจิตใจที่บริสุทธิ์เหมือนจิตใจของพระอรหันต์ แม้ว่าที่ผ่านมาผมจะเคยผิดพลาดต่อคุณแม่หลายอย่าง แต่คุณแม่ก็ให้อภัยกับความผิดพลาดของผมทุกครั้ง เพราะฉะนั้นเวลาที่ผมเสียใจหรือผิดหวังกับผู้คนและสังคม ผมก็จะนึกถึงคุณแม่ นึกถึงจิตใจที่บริสุทธิ์เหมือนพระอรหันต์ของคุณแม่ แล้วผมก็จะมีกำลังใจขึ้นมา
การทำความดีของผมแม้ว่าจะไม่มีใครมองเห็นแต่ผมก็ถือว่าผมทำความดีเพื่อบูชาพระอรหันต์คือคุณแม่ เพราะฉะนั้นคุณงามความดีทุอย่างที่ผมทำลงไป และความสำเร็จต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำความดีนั้น ผมถือว่าเป็นการบูชาคุณงามความดีของคุณแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางมาศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกที่ประเทศอินเดีย ผมถือว่าเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต นอกจากต้องใช้ทุนมากมายแล้ว ผมต้องทุ่มเทกำลังสติปัญญาความรู้ความสามารถทั้งหมด ฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรคทั้งมวลที่เกิดขึ้น เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการเรียน ภารกิจนี้จะไม่ประสบความสำเร็จถ้าไม่ได้รับกำลังใจและแรงสนับสนุนของคุณแม่และคุณพี่ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นผมถือว่าภารกิจครั้งนี้ เป็นการทำเพื่อเป็นเครื่องสักการะบูชาพระคุณของคุณแม่ผู้เป็นพระอรหันต์ของผม
สำหรับเรื่องการเรียนของผม ตอนนี้ผมก็ได้รับร่างวิทยานิพนธ์บทที่ ๔ ของที่ส่งให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจคืนตั้งแต่วันที่ ๒๙ ของเดือนที่แล้ว งานวิทยานิพนธ์ของผมตอนนี้ก็เหลืออีกเพียง ๒ บท คือบทที่ ๕ เกี่ยวกับอริยมรรคมีองค์ ๘ และบทที่ ๖ เป็นบทสรุป ซึ่งผมคาดว่าจะใช้เวลาเขียนทัั้งหมด ๓ เดือน คือจะส่งประมาณเดือนตุลาคม และผมได้ปรึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษาว่าถ้าผมเขียนวิทยานิพนธ์เสร็จทุกบท ผมจะขอส่งโครงร่างสรุปเนื้อหาวิทยานิพนธ์ (Synopsis) ก่อนได้ไหม (เวลาทำวิจัยของผมจะครบ ๓ ปี ในวันที่ ๑๐ พ.ค. ๒๕๕๓) ท่านก็บอกว่าไม่มีปัญหาอะไร โดยปกติแล้วนักศึกษาปริญญาเอกจะส่งโครงร่างสรุปเนื้อหาวิทยานิพนธ์ก่อนจะส่งวิทยานิพนธ์ฉบับสมบูรณ์ ๓ เดือน เมื่อผมส่งโครงร่างวิทยานิพนธ์เสร็จแล้วผมก็จะขออนุญาตุอาจารย์ที่ปรึกษาไปหาประสบการณ์ในการสอนที่เมืองไทยในเทอมที่ ๒ ของปีการศึกษา ๒๕๕๒ เพื่อรอเวลาในการส่งวิทยานิพนธ์ฉบับสมบูรณ์ การที่ผมต้องการกลับไปหาประสบการณ์สอนที่เมืองไทย เพราะมันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อผมจบปริญญาเอกแล้วไปสมัครงานในมหาวิทยาลัยของรัฐ การมีประสบการณ์ในการสอนจะช่วยให้คณะกรรมการสอบพิจารณารับเราง่ายขึ้น ส่วนมหาวิทยาลัยที่ผมวางแผนจะไปสอนนั้นก็มีหลายแห่ง ผมคิดว่าเพื่อน ๆ และรุ่นพี่น่าจะช่วยผมได้ในเรื่องนี้ ขอคุณแม่และคุณพี่อย่าได้เป็นห่วง
สุดท้ายนี้ ผมขออ้างอิงเอาคุณพระศรีรัตนตรัย คือ คุณพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ขอจงช่วยอภิบาลรักษาให้คุณแม่มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงปราศจากอุปทวันตรายทั้งปวง มีความสุขกายสบายใจ และขอให้คุณพี่ภาณีและหลาน ๆ จงมีแต่ความสุขความเจริญ ประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่ทำ และสมปราถนาในทุกสิ่งที่ต้องการ
ด้วยความรักและเคารพอย่างสูง
บรรพต แคไธสง
อ่านบันทึก และเห็นภาพ...ประทับใจมากใน...ความรัก ห่วงใย และปรารถนาดีของลูกที่มีต่อแม่...เป็นบุญกุศลยิ่งใหญ่นะคะท่านดร.บรรพต
ขอบคุณมากครับ
จดหมายฉบับนี้ผมเขียนขึ้นในช่วงที่ผมประสบกับปัญหาที่หนักที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต เมื่อประสบกับความทุกข์ผมมองไม่เห็นว่าใครจะมาช่วยแบ่งเบาปัญหาของผมได้ พอดีผมนึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า บิดามารดาเป็นบูรพาจารย์ เป็นพระพรหมและเป็นวิสุทธิเทพ(พระอรหนต์)ของบุตร ผมจึงเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาเพื่อสอนตัวเองให้ตะหนักว่า แม้เราจะประสบเคราะห์กรรมที่รุนแรงเพียงใดเราจะยังต้องไม่ยอมพ่ายแพ้ ต้องมีกำลังใจต่อสู้ และยืนหยัดอยู่บนคุณงามความดี หลังจากที่ผมเขียนเสร็จและส่งมาให้คุณแม่ที่เมืองไทย ปรากฎว่าผมก็เกิดพลังใจและต่อสู้จนผ่านพ้นปัญหานั้นมาได้ เพราะฉะนั้นจดหมายฉบับนี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อเป็นการอวดตัวเรื่องความกตัญญูหรือเพื่อต้องการโฆษณาคุณแม่ของตัวเอง แต่มีเป้าหมายเพื่อสอนและดึงตัวเองให้ยืนหยัดอยู่ในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้ตัวเองมีกำลังใจในการต่อสู้ในแนวทางที่ถูกต้องดีงาม เพื่อเอาชนะปัญหาบนเส้นทางแห่งคุณธรรม