เมื่อพูดถึงความยากง่ายของงานด้านสุขภาพ หลายคนมักจะมองว่าพยาบาลที่ทำงานในห้องผ่าตัด แผนก ICU หรือแผนกที่ต้องใช้เครื่องมือมากๆ เป็นผู้น่าให้ความเคารพ ยอมรับ เพราะทำงานยาก มากกว่าคนที่ทำงานในแผนกผู้ป่วยนอก หรือ ออกไปสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน เห็นได้จากการตีค่า การให้ค่าตอบแทนพยาบาล โดยแบ่งเป็นเกรด A B และ C โดยพยาบาลที่อยู่ห้อง ICU หรืออยู่แผนกที่ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือที่ซับซ้อนได้รับการยกย่องให้เป็นพยาบาลเกรดA พยาบาลที่อยู่ตามหอผู้ป่วยทั่วไปได้รับเกรด B และพยาบาลที่อยู่ OPD หรือพยาบาลชุมชนถูกมองว่าทำงานง่าย ได้รับเกรด C ไปด้วยค่าตอบแทนที่น้อยที่สุด
ดิฉันอยากให้กำลังใจพยาบาลชุมชนว่า งานที่เราทำนั้นเป็นงานที่ท้าทาย เพราะถ้าเราทำได้ดี กล่าวคือ สามารถป้องกันไม่ให้ประชาชนเจ็บป่วย สามารถดูแลตัวเองที่บ้านได้ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยที่สุด พยาบาลที่อยู่ ICU หรือ แผนกฟอกไต ก็คงจะไม่มีงานทำ หรือ ว่างงานไปเลย แต่ประเด็นสำคัญก็คือ พยาบาลชุมชน ปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มความสามารถแล้วหรือยัง จากประสบการณ์ พยาบาลหรือเจ้าหน้าที่บางคนมีงานยุ่งเสียจนลืมไปว่าเป้าหมายของวิชาชีพคืออะไร สิ่งที่ดิฉันจะกล่าวต่อไปนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพยาบาลโดยทั่วไปและนักศึกษาพยาบาล ผู้ซึ่งกำลังเรียนรู้ว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาไปแล้วจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร โดยดูอาจารย์และบุคลากรทางการพยาบาลเป็นตัวอย่าง
ในทุกกิจกรรมการพยาบาล ไม่ว่าจะเป็น งานลงทะเบียนซักประวัติ งานคัดกรองสุขภาพเช่นชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดรอบเอว งานให้คำปรึกษาแนะนำ หรืองานฉีดยา ทำแผล เป็นงานที่มีค่า มีความสำคัญและเปิดโอกาสให้เราได้สร้างเสริมสุขภาพและช่วยเหลือประชาชนหรือ “ทำบุญ” ด้วยกันทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างเช่น ในการซักประวัติเรื่องการสูบบุหรี่และดื่มเหล้า ดิฉันเคยได้ยินเจ้าหน้าที่คนหนึ่งกล่าวว่าถ้าเป็นผู้หญิงไม่ต้องถามก็ได้ ซึ่งตรงนี้ไม่ดีแน่เพราะเราจะพลาดโอกาสประเมินภาวะเสี่ยงของผู้หญิง ครั้งหนึ่งเมื่อดิฉันซักประวัติการสูบบุหรี่จากผู้ชายวัย 51 ปี เขาตอบว่าสูบบ้างวันละ 2-3 มวน ถ้าเราหยุดการซักถามเรื่องบุหรี่เพราะได้คำตอบที่ต้องการแล้วหันไปถามคำถามอื่นต่อไป เราอาจพลาดโอกาสสำคัญ ดิฉันถามต่อไปว่า สูบทำไม (เพื่อประเมินว่า สูบเพราะสังคม หรือเพราะเหตุผลใด) เขาตอบว่า “สูบเฉพาะเวลาเข้าห้องน้ำ เพราะไม่รู้จะทำอะไร” ดิฉันจึงแนะนำให้อ่านหนังสือหรือทำอย่างอื่นแทนการสูบบุหรี่ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งจากควันบุหรี่ลงได้ ซึ่งผู้ชายคนนั้นเข้าใจและรับที่จะเลิกสูบ และเดือนหลังจากนั้น ดิฉันทราบว่าเขาเปลี่ยนเป็นอ่านหนังสือแทนการสูบบุหรี่ เวลาเข้าห้องน้ำ
อีกครั้งหนึ่งเมื่อวัดรอบเอว ชั่งน้ำหนักและวัดความดันโลหิต สามีภรรยาคู่หนึ่งอายุ 50-51 ปี พบว่า มีความดันโลหิตสูงกว่าปกติเล็กน้อย รอบเอวและน้ำหนักเกินมาตรฐานเล็กน้อย ถ้าเราเห็นว่ามีความผิดปกติเพียงเล็กน้อย แล้วก็หยุดหันไปซักถามหรือทำอย่างอื่นต่อไป เราก็จะพลาดโอกาสที่จะ “ทำบุญ” อีก ดิฉันได้บอกกับสามีภรรยาคู่นี้ว่า ความดันโลหิตสูงกว่าปกติไปเล็กน้อย และอ้วนไปหน่อย และอธิบายว่าถ้าไม่รีบแก้ไขจะมีผลเสียตามมามากมาย ทั้งสองคนให้ความสนใจและถามวิธีแก้ไข ดิฉันซักถามพฤติกรรมสุขภาพ พบว่าทั้งคู่กินอาหารเย็นประมาณ 17.00 น.แล้วนอน 20.00 น. จึงแนะนำให้ปรับเวลาอาหารเย็นให้เร็วขึ้น ทั้งสามีภรรยาก็เข้าใจและรับว่าจะปฏิบัติตนใหม่ให้มีสุขภาพดียิ่งขึ้น
ดิฉันยังมีประสบการณ์อีกในการซักประวัติ เมื่อดิฉันถามลุงคนหนึ่งที่เป็นเกษตรกรว่า ปกติไปรับยารักษาเบาหวานที่ไหน คุณลุงตอบว่าไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ถ้าดิฉันหยุด แล้วปล่อยให้คุณลุงไปแผนกอื่น ดิฉันคงพลาดโอกาส “ทำบุญ”อีก ดิฉันจึงถามถึงเหตุผลที่ใช้บริการที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้น คุณลุงตอบว่า เนื่องจากโรงพยาบาลนั้นมาเปิดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่คัดกรองเบาหวาน แล้วเมื่อพบว่าคุณลุงเป็นเบาหวานจึงเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลนั้นตลอดมา ซึ่งแต่ละครั้งค่ายา ค่ารักษาและค่าเดินทางรวมกันเป็นหลักหมื่น ดิฉันจึงแนะนำให้ใช้สิทธิบัตรทองที่โรงพยาบาลชุมชนใกล้บ้านโดยให้ความมั่นใจว่ามีการตรวจรักษาที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพในการรักษาเบาหวานไม่แตกต่างจากโรงพยาบาลเอกชนนั้น คุณลุงและภรรยาก็เกิดความมั่นใจ และดีใจที่จะได้ประหยัดเงินค่าใช้จ่ายในการรักษา
นี่เป็นตัวอย่างเล็กน้อยที่พยายามจะอธิบายว่า งานพยาบาลไม่ว่าจะทำจุดไหนก็มีคุณค่าทั้งสิ้น เราสามารถสร้างเสริมสุขภาพให้กับประชาชนได้ตลอดเวลา ขณะที่ทำงานหนึ่งก็สามารถบูรณาการงานอื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการสร้างเสริมสุขภาพได้เสมอ ทั้งยังมีโอกาสช่วยประชาชนด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของการพยาบาล ซึ่งอาจเป็นการ “ทำบุญ” ที่ยิ่งใหญ่มากกว่าการทำบุญตามปกติเสียอีก ที่สำคัญ เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับวิชาชีพการพยาบาล นั่นคือ “ทำอย่างไรที่จะให้ประชาชนได้รับมากกว่าที่เขาคาดหวัง”
เยี่ยมมากมาย