วันเสาร์ที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ เป็นวันสอบวิชาพัฒนาการวรรณกรรมไทย มานั่งอ่านหนังสือรอสอบตั้งแต่ ๐๗.๓๐ น. เวลาสอบจริงเป็นเวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. เพื่อน ๆ เริ่มทยอยมาทีละคนสองคนและนั่งคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และเป็นการทบทวนความรู้ให้กันและกันอีกครั้ง เผลอแป๊บเดียวเวลาผ่านไปเกือบ ๆ ๐๙.๓๐ น. แล้ว แต่อาจารย์ยังไม่มา พวกเราจึงเดินไปติดต่อเจ้าหน้าที่บัณฑิต ฯ ที่คณะ ปรากฏว่าพวกเราหลงห้องสอบกันเล็กน้อย แต่พี่ ๆ บัณฑิต ฯ ใจดีบอกพวกเราว่าให้ไปคอยที่ห้องเดิม เดี๋ยวจะเอาข้อสอบไปให้ทำและเลื่อนเวลาสอบไปให้ถึง ๑๒.๓๐ น. เพราะติดต่อกับอาจารย์ประจำวิชาไปแล้วว่าพวกเราหลงห้อง (ฮ่า ๆ) ข้อสอบมีทั้งหมด ๕ ข้อ แต่ให้เลือกทำ ๔ ข้อ ใน ๑ ข้อที่เลือกนั้นเป็นของอาจารย์ผู้สอนแต่ละท่านที่ได้มาสอนในวิชานี้ มีอาจารย์ที่มาสอนรวมแล้ว ๖ คน (ถึงขั้นปวด "หมองและลมจับกันเลยทีเดียวเมื่อหันไปสบตากันกับเพื่อนร่วมชะตากรรม)
ในที่สุดก็นั่งทำข้อสอบกันเงียบกริบ อาจารย์ทวีศักดิ์เดินมาดูพวกเราอยู่หลายเที่ยวและย้ำกับพวกเราว่าข้อสอบแต่ละข้อที่เลือกทำให้ทำเล่มละ ๑ ข้อเท่านั้น (ย้ำว่าเล่มละ ๑ ข้อ ฮ่า ๆ) เพราะต้องส่งให้อาจารย์แต่ละท่านอีกครั้งหนึ่ง พวกเราฟังดังนั้นก็แอบถอนหายใจพร้อม ๆ กัน เฮ้อ !!!! เวลาผ่านไปอีกครั้งและเสียงของเจ้าหน้าที่บัณฑิต ฯ บอกว่าเวลาใกล้หมดแล้ว ให้เตรียมส่งข้อสอบ ฉันส่งก่อนเป็นคนแรกทำครบทั้ง ๔ ข้อ ๔ เล่ม แล้วทยอยตามกันส่งจนครบ ระยะเวลาของชีวิตที่มาราธอนมาเกือบ ๑ ปีเต็มสิ้นสุดลงแล้ว เทอมต่อไปเป็นการเตรียมความพร้อมของแต่ละคนในการศึกษางานที่ตนสนใจเพื่อทำวิทยานิพนธ์ของแต่ละคน เวลาช่างผ่านไปรวดเร็ว แต่เมื่อออกจากห้องสอบพวกเราต่างส่งยิ้มให้กัน เหมือนจะรู้ว่าสิ่งที่พวกเราตั้งใจ อดทน มาตลอดระยะเวลาปีกว่า ๆ ใกล้ถึงเป้าหมายแล้ว และต่างรู้กันโดยนัยว่าหลังสอบวันนี้ไป....พวกเรามีจุดหมายเดียวกันตามที่ร่วมวางแผนไว้ว่าพวกเราจะไป...เตะโลกเป็นรางวัลให้กับความอดทนที่พากเพียรเรียนหนังสือมาด้วยกันตลอดเวลา ๑ ปี เพราะแต่ละคนต่างมีความรู้สึกร่วมกันถึงความเหนื่อยล้า จากการทำงานประจำหลักใน ๕ วันปกติที่มนุษย์ก็เหนื่อยล้ามามากแล้ว ตลอด ๕ วันที่เผชิญอุปสรรค ปัญหาในที่ทำงานของแต่ละคนก็ดูท่าจะลิ้นห้อยกันแล้ว แล้วอีก ๒ วันปกติที่มนุษย์ควรจะได้พักผ่อนเหมือนมนุษย์คนอื่น ๆ ก็ไม่ได้พัก แต่เมื่อชีวิตเราเลือกแล้วก็ต้องทำให้ ๒ วันนี้มีคุณภาพด้วยเช่นกันเพราะเราต่างมีเป้าหมายที่เราค้นหา
การได้เผชิญโชคชะตากับ ๒ วันที่มาเรียนด้วยกันนี้ สิ่งที่เห็นได้เหมือน ๆ กัน คือ อาการตาห้อย (ฮ่า ๆ) อาการกระวนกระวายเมื่ออ่านหนังสือยังไม่จบ (ออกอาการต่อความเสี่ยงมาก ๆ เพราะมีกัน ๘ คน อาจารย์ให้ร่วมอภิปรายทีไร เหมือนจะเป็นไข้ขึ้นมาทุกที) อาการกระสับกระส่ายเมื่อทำ Paperwork ของอาจารย์แต่ละวิชายังไม่เสร็จ ยังไม่ได้ปริ๊นซ์และแย่ที่สุดคือไฟล์หาย (ซึ่งแต่ละวิชาก็มีอาจารย์สอนในวิชาหนึ่ง ๆ ๕-๖ คน สั่ง Paperwork มาเกือบครบทุกคน พวกเราจึงออกอาการตาเหลือกและขอบตาคล้ำกันทุกคนเวลามาเรียนวันเสาร์ - อาทิตย์) นี่ยังไม่รวมที่เป็นรายงานกลุ่มหรือไม่กลุ่มและการออกไปนำเสนองานที่แต่ละคนได้รับมอบหมายให้ไปศึกษาค้นคว้า และการศึกษาค้นคว้าแบบอิสระที่ตนเองสนใจ เรียนในแต่ละวิชาใน ๑ ปีฟ่า ๆ ที่เล่ามานี้ ทั้งวนิดาและเพื่อนร่วมชั้นเป็นอาการดังที่ว่ากันทุกคน และมักจะมีอาการข้างเคียงคล้าย ๆ กันในเวลาเรียนทั้งภาคเช้าและภาคบ่ายคือ ให้ความเคารพอาจารย์บ่อยเกินไป (ฮ่า ๆ) ความรู้สึกเหล่านี้หลอมให้เราเป็นก้อนเดียวกันโดยไม่รู้ตัว แต่มักจะค่อย ๆ ประคับประครองกันไปยามที่คนหนึ่งคนใดเอ่ยคำบางคำมาว่า "ไม่ไหว" "ไม่อยากเรียนแล้ว" ฉันเองก็เคยเป็นอาการดังกล่าวแต่ไม่เคยเอ่ยมันออกมา แต่เราต่างรู้สึกได้ว่าคำว่า "ไม่ไหว" "ไม่อยากเรียนแล้ว" มันเป็นอย่างไร ด้วยวุฒิภาวะของความเป็นพี่ใหญ่ของรุ่นจึงต้องสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองอยู่บ่อย ๆ แม้ในยามป่วยไข้ที่มาบั่นทอนกำลังใจตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่เราต่างเป็นเพื่อน่วมทุกข์ ร่วมเกิด ร่วมแก่ ร่วมเจ็บและร่วมตายด้วยกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่ต้องฝืนความรู้สึกท้อแท้ภายในใจของตนเองเพื่อปลอบใจและให้กำลังใจกันและกัน เราจึงมักพบความสุขแบบง่าย ๆ และได้รู้จักบางใครที่เราเจอพวกเขาครั้งแรกและมองเขา....เป็นคนแปลกหน้า ฉันเองไม่แปลกใจที่ความเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันจะหลอมเราให้เป็นเพื่อนกัน ซึ่งไม่ใช่เพื่อนโกงและเพื่อนกิน
(@^_________________^@)
เป็นกำลังใจให้นะครับอาจารย์ ใกล้แล้วนะครับ..
ขอบคุณอาจารย์ ธนิตย์ค่ะ
ระยะทางยังอีกยาวน่าดูค่ะ แต่มีเป้าหมายเดียว...เท่านั้น ว่าต้องทำให้ได้
(หลังจากประสบกับความมาราธอนที่ว่ามา ... หันหลังกลับไม่ทันแล้วค่ะ ชักรู้สึกว่า "ยาก" ขึ้นเรื่อย ๆค่ะ)
(@^__________^@)