
ฤามีที่ให้หนีกรรม
นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ
ผมชื่อสมหมาย ทองประเสริฐ เกิด ๒๗ ธันวาคม ๒๔๖๔ ขณะนี้อายุได้ ๘๑ ปี สำเร็จเภสัชศาสตร์บัณฑิต และแพทยศาสตร์บั...ณฑิต เคยได้รับราชการดังต่อไปนี้ ปีแรกที่สำเร็จเภสัชศาสตร์บัณฑิ ต รับราชการเป็นอาจารย์อยู่คณะเภสัชศาสตร์ ๑ ปี แล้วกลับมาเรียนแพทย์ต่อที่ศิริ ราช หลังจากสำเร็จแพทย์แล้ว ผมได้ไปทำงานที่สถานเสาวภา ๑ ปี เนื่องจากสนใจในการศึกษาค้นคว้า เกี่ยวกับพิษสุนัขบ้าและพิษงู ต่อมาได้กลับมาเป็นแพทย์ ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชอี ก ๓ ปี ฝึกฝนทางด้านศัลยกรรม และไปรับราชการที่โรงพยาบาลตำรว จได้ ๘ เดือน ก็ลาออกมาเข้ารับราชการในกรมการ แพทย์กระทรวงสาธารณสุข เริ่มก่อสร้างโรงพยาบาลสิงห์บุรี และเปิดทำการอย่างเป็นทางการเมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๙๘ พ.ศ.๒๕๑๘ เลื่อนขึ้นเป็นนายแพทย์ใหญ่จังห วัดสิงห์บุรี ลาออกจากราชการเมื่อ ๑ มกราคม ๒๕๒๑ ขณะนี้เป็นข้าราชการบำนาญกระทรว งสาธารณสุข
ผมมีความเชื่อในกฏแห่งกรรม และได้มีประสบการณ์ในขณะมีชีวิต อยู่ ซึ่งเป็นบาปกรรมที่ผมยังจำได้ติ ตามาจนทุกวันนี้ ครั้งที่ ๑ ยิงกระทิง เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๕ ผมไปล่าสัตว์ที่บ่อไทร อ.นาเฉลียง จังหวัดเพชรบูรณ์ ต้องเดินข้ามเขาไปอีก ๒ ลูก ซึ่งเมื่อไปครั้งนั้นป่ายังทึบม าก เมื่อไปถึงจุดที่นั่งล่าสัตว์ พรานก็ให้ผมนั่งอยู่กับนายแพทย์ ที่เป็นลูกน้อง นั่งกันอยู่ ๒ คน ในระหว่างนั่นโพรงของรากต้นไม้ใ หญ่ ห่างจากที่นั่งไปประมาณ ๒๐ เมตร มีซับน้ำสำหรับสัตว์ลงมากินน้ำ ขณะนั้นเวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น. นั่งอยู่ได้สักพักหนึ่งก็มีสัตววิ่งลงมาจากเนินเขา แผ่นดินสะเทือน ผมก็ค่อยๆเดินไปหาน้ำซับ ผมก็สะกิดนายแพทย์ผู้ช่วยว่า พอกระทิงเดินเลยโพรงไม้ไป ให้ช่วยกันยิงตรง โคนขาหน้า พวกป่าเรียกว่า ตรงรักแร้แดงเพราะจะถูกหัวใจพอดี พอกระทิงเดินเลยไปได้จังหวะ ผมกับผู้ช่วยก็ยิงที่เดียวกันคน ละนัด เข้าตรงเป้าพอดี กระทิงวิ่งพุ่งผ่านโพรงไม้ที่ผม ซ่อนอยู่ขึ้นไปบนเนิน ชนกอไผ่ และก็หวนกลับลงมาคู้เข่าหน้า อยู่ห่างจากผมประมาณ ๑๐ เมตร ผมดูหน้ากระทิงขณะนั้นรู้สึกกลั วมากเพราะเพิ่งเคยยิงเป็นครั้งแ รก กระทิงคู้เข่าหน้าหันหน้ามาทางผ ม เลือดไหลจากทางจมูกปากเต็มไปหมด โดยเฉพาะตาของกระทิงน่ากลัวมาก สีเขียวปั้ดและมืดพอดี จะกลับเองก็ไม่รู้ทาง ต้องนั่งเฝ้าอยู่เช่นนั้นจนสว่า งไม่ได้นอนทั้งคืน
พอรุ่งขึ้นพรานก็พาพวกมาหลายคน บอกว่าได้ยินเสียงปืนน่าจะได้กร ะทิง พวกพรานก็แล่เนื้อไปกิน ส่วนผมก็เอาหัวย่างไฟกลับมาบ้าน พ.ศ.๒๕๐๖ น้องชายผมก็รถคว่ำ เสียชีวิตตรงปากทางที่เข้าบ้านบ่อไทรพอดี ทำให้ผมนึกถึงสายตาอาฆาตของกระทิงว่าอาจมาเอาชีวิตน้องชายผมก็เ ป็นได้
ครั้งที่ ๒ ยิงตานก ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๕ ถึง พ.ศ.๒๕๑๐ เวลาบ่ายๆวันหยุด ไม่มีคนไข้ ผมก็ชอบขี่จักรยานไปตามถนนสายสิ งห์บุรี-ลพบุรี พร้อมกับปืนลูกกรดยาว เที่ยวยิงนกไปเรื่อยๆ มีลูกน้องตามไปอีก ๑ คน เนื่องจากผมยิงปืนค่อนข้างแม่น อยู่มาวันหนึ่งผมกับลูกน้องก็ออ กไปยิงนกกันอีกตามข้างถนน จะมีต้นตาลสูงมากอยู่เรียงรายไป พอไปถึงต้นตาลต้นหนึ่งสูงมาก มีอีแร้งเกาะอยู่บนก้านใบตาล ๑ ตัว ลูกน้องผมก็ท้าผมว่าถ้ายิงแม่นจ ริงก็ให้ยิงเข้าตาอีแร้งให้เขาดู ผมกำลังคะนองไม่คิดถึงบาป ก็ยกปืนเล็งไปที่ตาอีแร้งข้างขว า ปรากฏว่าผมยิงเข้าที่ตาอีแร้งข้ างขวาพอดี ทะลุสมองหล่นมาตาย ผมก็ไม่ได้คิดอะไรในเรื่องนี้ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ ผมเข้าไปเที่ยวป่าที่อำเภอบ้านไ ร่ จังหวัดอุทัยธานี กลางคืนก็เดินกันเข้าไปในป่า บังเอิญวันนั้นโชคร้าย ผงขี้เลื่อยปลิวเข้าตาข้างขวาผม พอดี รู้สึกเคืองมาก แต่อยู่ในป่าจะกลับกลางคืนก็ไม่ ได้ ต้องรอจนรุ่งเช้า ผมก็ใช้น้ำที่รับประทาน ล้างตาเป็นระยะๆ เพื่อลดความเคืองของตา พอเช้าผมรีบกลับมาโรงพยาบาล ทำการล้างตาและหยอดตาทั้งยาชาแล ะยาแก้อักเสบ อาการก็ไม่ดีขึ้น ผมก็ให้หมอดูหลายคน ทุกคนบอกว่าไม่เป็นไรนอกจากเคือ งเท่านั้น แล้วก็ให้ยาหยอดและรับประทาน อาการก็ไม่ดีขึ้น ทั้งปวดทั้งเคือง ผมก็ไปให้เพื่อนหมอตาที่ศิริราช ตรวจ ก็บอกไม่เป็นไรทุกที ตาผมทั้งปวดทั้งเคืองและค่อยๆมั วขึ้นจนบอดสนิท รักษาไม่ได้ ทำให้ผมระลึกถึงการยิงเข้าลูกตา ของอีแร้ง ก็เป็นการรับกรรมที่ได้ไปทำเขา
ท่านได้อ่านเรื่องนี้แล้ว โปรดได้คิดพิจารณาให้ถ่องแท้ เพราะเป็นเรื่องจริงที่ผมประสบม า ขอทุกท่านอย่าได้ก่อกรรมทำเวรกั บสัตว์และมนุษย์ทั้งหลายเลย ครั้งที่ ๓ ยิงลูกชะนี ระหว่างวันที่ ๑๑-๒๐ เดือนเมษายน ๒๕๑๐ ผมกับคณะพากันเข้าไปล่าสัตว์ในป่าลำขาแข้งที่ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ซึ่งไปกันเป็นประจำทุกปี ก่อนผมเข้าป่า น้องสาวผมบอกว่าอยากได้ลูกชะนีม าเลี้ยงสัก ๑ ตัว ผมก็รับคำว่าจะพยายามหามาให้ เมื่อผมเข้าไปตั้งแคมป์ในป่าเรี ยบร้อยแล้ว ผมกับพวกก็ออกไปล่าสัตว์กันตั้ง แต่เช้าจนกระทั่งเย็น แล้วกลับมานอนที่แคมป์เช่นนี้ทุ กวัน วันสุดท้ายก่อนจะกลับ ผมก็นึกได้ว่าน้องสาวสั่งเรื่อง ลูกชะนี ผมจึงบอกพวกนายพรานว่าอยากได้ลู กชะนี พวกนายพรานบอกผมว่า ถ้าอยากได้ลูกชะนีต้องยิงแม่ชะนีให้ตายก่อนจึงจะได้ลูก เพราะลูกชะนีจะเกาะอยู่ที่หน้าอ กของแม่ตลอดเวลา ขณะนั้นผมไม่ได้นึกถึงบาปกรรม เพียงแต่อยากได้ลูกชะนีมาฝากน้อ งสาว ผมจึงให้พรานพาผมไปในป่าโปร่งที่มีชะนี และมองเห็นชะนีได้ชัดๆ พรานก็พาผมไป บริเวณที่ไปนั่นเป็นป่าโปร่ง มีต้นไม้สูงห่างกันเป็นระยะ มองเห็นชะนีได้ชัด บริเวณนั่นเป็นภูเขาดินเตี้ยๆ มีหลายลูกอยู่สลับกัน ผมเห็นชะนีหลายตัว มีตัวหนึ่งซึ่งกอดลูกเล็กๆไว้ที่หน้าอก ผมก็หมายตาไว้ พรานก็ช่วยไล่ชะนีให้มาทางผม พอชะนีมาทางผม ผมก็ยกปืนจะยิงชะนี ชะนีก็หนีไปต้นไม้อื่น ผมก็พยายามวิ่งไล่ยิงแต่ก็ผิด เมื่อชะนีหนีผมไปมาหลายครั้ง ชะนีคงเหนื่อยก็หยุดเกาะกิ่งไม้ เฉยอยู่ ส่วนผมนั้นเมื่อไล่ตามชะนีไปมาห ลายครั้งก็เหนื่อย เมื่อเหนื่อยมือก็สั่น พอชะนีหยุดผมก็ยกปืนยิงแม่ชะนี ทั้งๆที่ผมเป็นคนยิงปืนแม่น แต่ด้วยความเหนื่อย มือสั่นทำให้ผมยิงพลาดไปถูกขาขว าของลูกชะนี ขาลูกชะนีก็หักห้อยลง ผมเห็นลูกชะนีเอามือจับขาที่ห้อ ยลงแล้วก็ยกขึ้นพร้อมกับร้อง ผมก็ตกใจและเสียใจในการกระทำของ ผม ผมจึงตัดสินใจยิงลูกชะนีให้ตาย เพื่อจะได้ไม่ทรมาน พร้อมกันนั้นผมก็ส่งปืนให้พรานถือไว้ และบอกกับพรานว่าเลิกกันที ต่อไปนี้ผมจะเลิกเข้าป่ายิงสัตว์ และผมก็เลิกมาตั้งแต่วันนั้น และไม่ยอมฆ่าสัตว์อีกเลยนอกจากพ วก ยุง มด และปลวก
ประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๑ ผมไปขุดดินปลูกต้นไม้ โดยขุดด้วยจอบ ไม่ทราบว่าฟันดินท่าไหน รู้สึกแปล๊บที่ปั้นเอว แล้วร้าวไปสะโพกขวาเรื่อยไปจนถึ งนิ้วก้อยเท้าขวา ผมก็หยุดขุดดิน กลับมาบ้าน ทำการนวดบริเวณที่ปวดด้วยน้ำมัน และกินยาแก้ปวด แล้วก็นอนพัก อาการปวดก็ทุเลา รุ่งขึ้นก็ไปเอ็กซเรย์ดูกระดูกสันหลังตรงบั้นเอว ดูจากเอ็กซเรย์แล้ว หมอเอ็กซเรย์ก็บอกผมว่า ขณะขุดดินอาจจะเอี้ยวเอวแรงไปทำ ให้กระดูกทับเส้น ไม่น่าจะเป็นมาก จากนั้นผมก็ได้ทาถูนวดด้วยยา และรับประทานยาแก้ปวดตลอดมา อาการก็ทรุดหนักลง อยู่ๆเวลาเดินบางครั้งก็เดินปกติ พอนึกจะปวดขึ้นมาก็ปวดจากสะโพกล งไปขาทุกครั้ง อาการปวดเป็นมากจนต้องฉีดยาชา เข้าไปที่เส้น ฉีดและกินยาก็ไม่หายปวด ได้ซื้อเข็มขัดรัดเอวสวมใส่ อาการก็เหมือนเดิม นึกจะปวดขึ้นมาละก็บางครั้งต้อง คลานจากชั้นบนลงมาชั้นล่าง เพราะเดินไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมนึกถึงกฎแห่งกรรมตามทันในการยิงถูกขาขวาลูกชะนี ( เมื่อเดือน เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๐ ) ผมก็ทรมานด้วยการปวดเช่นนี้มาตล อด ผมจึงได้ตั้งอธิฐานจิตถึงลูกชะนีว่าขออโหสิกรรมให้ผมด้วย เพราะผมทำบาปไปด้วยความคะนอง ทุกครั้งที่ผมทำบุญผมจะกรวดน้ำใ ห้เจ้ากรรมนายเวรและลูกชะนีทุกค รั้ง และขออโหสิกรรมทุกครั้ง เพราะผมไม่ทราบว่าจะทำอย่างไนให้หายปวด ทั้งๆที่ตนเองเป็นแพทย์ การปวดนั้นผมไม่ทราบว่าจะบรรยาย ได้อย่าไร มันปวดตั้งแต่สะโพกถึงนิ้วก้อยข วาทุกครั้ง จนบางครั้งผมอยากจะกินยานอนหลับ ให้ตายไปเลย เพื่อจะได้ไม่ทรมานจากการปวด ๒๐ เมษายน ๒๕๔๔ ผมได้ย้ายคลินิกเข้ามาอยู่ที่บ้ านหลังโรงพยาบาลสิงห์บุรี และตั้งจิตอธิฐานว่า ต่อไปนี้จะเลิกกินเนื้อสัตว์ จะกินแต่น้ำข้าว และไวตามิลค์ขวด และผลไม้พร้อมกับปลาตัวเล็กๆเท่ านั้น พร้อมกันนั้นผมก็ยังอธิฐานขออโห สิกรรมลูกชะนีตลอดเวลา ทั้งก่อนนอนและเวลากรวดน้ำ อยู่ๆอาการปวดที่เคยปวดก็หายเป็ นปลิดทิ้ง ทั้งๆที่ไม่ได้รักษาอะไรเลย เข็มขัดรัดสะโพกก็ไม่ต้องใช้ กลับมาขุดดินได้เหมือนเดิม ทั้งๆที่อายุ ๘๑ ปีแล้ว และขณะที่เขียนบันทึกนี้ก็ไม่เค ยปวดอีกเลย แสดงว่าการทำบุญและการขออโหสิกร รมที่ได้ขอตลอดมาได้รับการอโหสิ กรรมจากเจ้ากรรมนายเวรและลูกชะนีที่ผมยิงแล้ว และผมก็พยายามสอนคนเรื่องการล่า สัตว์ว่าอย่าทำเลย เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งหลายก็มีคว ามเจ็บปวดเมื่อถูกทำร้าย และกลัวตายกันทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่าบาปกรรมนั่นมีจริ ง โดยเฉพาะตัวผม กรรมตามทันตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ผมจะทำบุญทำทานมากก็จริง แต่ไม่สามารถลบล้างกรรมนั้นได้
คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/ contact-webmaster.html หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จั ดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ