ฤามีที่....... ให้หนีกรรม


  •  
     
    ฤามีที่ให้หนีกรรม
    นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ
     
     
    ผมชื่อสมหมาย ทองประเสริฐ เกิด ๒๗ ธันวาคม ๒๔๖๔ ขณะนี้อายุได้ ๘๑ ปี สำเร็จเภสัชศาสตร์บัณฑิต และแพทยศาสตร์บั...ณฑิต เคยได้รับราชการดังต่อไปนี้ ปีแรกที่สำเร็จเภสัชศาสตร์บัณฑิต รับราชการเป็นอาจารย์อยู่คณะเภสัชศาสตร์ ๑ ปี แล้วกลับมาเรียนแพทย์ต่อที่ศิริราช หลังจากสำเร็จแพทย์แล้ว ผมได้ไปทำงานที่สถานเสาวภา ๑ ปี เนื่องจากสนใจในการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพิษสุนัขบ้าและพิษงู ต่อมาได้กลับมาเป็นแพทย์ ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชอีก ๓ ปี ฝึกฝนทางด้านศัลยกรรม และไปรับราชการที่โรงพยาบาลตำรวจได้ ๘ เดือน ก็ลาออกมาเข้ารับราชการในกรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข เริ่มก่อสร้างโรงพยาบาลสิงห์บุรี และเปิดทำการอย่างเป็นทางการเมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๙๘ พ.ศ.๒๕๑๘ เลื่อนขึ้นเป็นนายแพทย์ใหญ่จังหวัดสิงห์บุรี ลาออกจากราชการเมื่อ ๑ มกราคม ๒๕๒๑ ขณะนี้เป็นข้าราชการบำนาญกระทรวงสาธารณสุข
     
    ผมมีความเชื่อในกฏแห่งกรรม และได้มีประสบการณ์ในขณะมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นบาปกรรมที่ผมยังจำได้ติตามาจนทุกวันนี้ ครั้งที่ ๑ ยิงกระทิง เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๕ ผมไปล่าสัตว์ที่บ่อไทร อ.นาเฉลียง จังหวัดเพชรบูรณ์ ต้องเดินข้ามเขาไปอีก ๒ ลูก ซึ่งเมื่อไปครั้งนั้นป่ายังทึบมาก เมื่อไปถึงจุดที่นั่งล่าสัตว์ พรานก็ให้ผมนั่งอยู่กับนายแพทย์ที่เป็นลูกน้อง นั่งกันอยู่ ๒ คน ในระหว่างนั่นโพรงของรากต้นไม้ใหญ่ ห่างจากที่นั่งไปประมาณ ๒๐ เมตร มีซับน้ำสำหรับสัตว์ลงมากินน้ำ ขณะนั้นเวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น. นั่งอยู่ได้สักพักหนึ่งก็มีสัตววิ่งลงมาจากเนินเขา แผ่นดินสะเทือน ผมก็ค่อยๆเดินไปหาน้ำซับ ผมก็สะกิดนายแพทย์ผู้ช่วยว่า พอกระทิงเดินเลยโพรงไม้ไป ให้ช่วยกันยิงตรง โคนขาหน้า พวกป่าเรียกว่า ตรงรักแร้แดงเพราะจะถูกหัวใจพอดี พอกระทิงเดินเลยไปได้จังหวะ ผมกับผู้ช่วยก็ยิงที่เดียวกันคนละนัด เข้าตรงเป้าพอดี กระทิงวิ่งพุ่งผ่านโพรงไม้ที่ผมซ่อนอยู่ขึ้นไปบนเนิน ชนกอไผ่ และก็หวนกลับลงมาคู้เข่าหน้า อยู่ห่างจากผมประมาณ ๑๐ เมตร ผมดูหน้ากระทิงขณะนั้นรู้สึกกลัวมากเพราะเพิ่งเคยยิงเป็นครั้งแรก กระทิงคู้เข่าหน้าหันหน้ามาทางผม เลือดไหลจากทางจมูกปากเต็มไปหมด โดยเฉพาะตาของกระทิงน่ากลัวมาก สีเขียวปั้ดและมืดพอดี จะกลับเองก็ไม่รู้ทาง ต้องนั่งเฝ้าอยู่เช่นนั้นจนสว่างไม่ได้นอนทั้งคืน
     
     
    พอรุ่งขึ้นพรานก็พาพวกมาหลายคน บอกว่าได้ยินเสียงปืนน่าจะได้กระทิง พวกพรานก็แล่เนื้อไปกิน ส่วนผมก็เอาหัวย่างไฟกลับมาบ้าน พ.ศ.๒๕๐๖ น้องชายผมก็รถคว่ำ เสียชีวิตตรงปากทางที่เข้าบ้านบ่อไทรพอดี ทำให้ผมนึกถึงสายตาอาฆาตของกระทิงว่าอาจมาเอาชีวิตน้องชายผมก็เป็นได้
     
    ครั้งที่ ๒ ยิงตานก ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๕ ถึง พ.ศ.๒๕๑๐ เวลาบ่ายๆวันหยุด ไม่มีคนไข้ ผมก็ชอบขี่จักรยานไปตามถนนสายสิงห์บุรี-ลพบุรี พร้อมกับปืนลูกกรดยาว เที่ยวยิงนกไปเรื่อยๆ มีลูกน้องตามไปอีก ๑ คน เนื่องจากผมยิงปืนค่อนข้างแม่น อยู่มาวันหนึ่งผมกับลูกน้องก็ออกไปยิงนกกันอีกตามข้างถนน จะมีต้นตาลสูงมากอยู่เรียงรายไป พอไปถึงต้นตาลต้นหนึ่งสูงมาก มีอีแร้งเกาะอยู่บนก้านใบตาล ๑ ตัว ลูกน้องผมก็ท้าผมว่าถ้ายิงแม่นจริงก็ให้ยิงเข้าตาอีแร้งให้เขาดู ผมกำลังคะนองไม่คิดถึงบาป ก็ยกปืนเล็งไปที่ตาอีแร้งข้างขวา ปรากฏว่าผมยิงเข้าที่ตาอีแร้งข้างขวาพอดี ทะลุสมองหล่นมาตาย ผมก็ไม่ได้คิดอะไรในเรื่องนี้ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ ผมเข้าไปเที่ยวป่าที่อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี กลางคืนก็เดินกันเข้าไปในป่า บังเอิญวันนั้นโชคร้าย ผงขี้เลื่อยปลิวเข้าตาข้างขวาผมพอดี รู้สึกเคืองมาก แต่อยู่ในป่าจะกลับกลางคืนก็ไม่ได้ ต้องรอจนรุ่งเช้า ผมก็ใช้น้ำที่รับประทาน ล้างตาเป็นระยะๆ เพื่อลดความเคืองของตา พอเช้าผมรีบกลับมาโรงพยาบาล ทำการล้างตาและหยอดตาทั้งยาชาและยาแก้อักเสบ อาการก็ไม่ดีขึ้น ผมก็ให้หมอดูหลายคน ทุกคนบอกว่าไม่เป็นไรนอกจากเคืองเท่านั้น แล้วก็ให้ยาหยอดและรับประทาน อาการก็ไม่ดีขึ้น ทั้งปวดทั้งเคือง ผมก็ไปให้เพื่อนหมอตาที่ศิริราชตรวจ ก็บอกไม่เป็นไรทุกที ตาผมทั้งปวดทั้งเคืองและค่อยๆมัวขึ้นจนบอดสนิท รักษาไม่ได้ ทำให้ผมระลึกถึงการยิงเข้าลูกตาของอีแร้ง ก็เป็นการรับกรรมที่ได้ไปทำเขา
     
     
    ท่านได้อ่านเรื่องนี้แล้ว โปรดได้คิดพิจารณาให้ถ่องแท้ เพราะเป็นเรื่องจริงที่ผมประสบมา ขอทุกท่านอย่าได้ก่อกรรมทำเวรกับสัตว์และมนุษย์ทั้งหลายเลย ครั้งที่ ๓ ยิงลูกชะนี ระหว่างวันที่ ๑๑-๒๐ เดือนเมษายน ๒๕๑๐ ผมกับคณะพากันเข้าไปล่าสัตว์ในป่าลำขาแข้งที่ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ซึ่งไปกันเป็นประจำทุกปี ก่อนผมเข้าป่า น้องสาวผมบอกว่าอยากได้ลูกชะนีมาเลี้ยงสัก ๑ ตัว ผมก็รับคำว่าจะพยายามหามาให้ เมื่อผมเข้าไปตั้งแคมป์ในป่าเรียบร้อยแล้ว ผมกับพวกก็ออกไปล่าสัตว์กันตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเย็น แล้วกลับมานอนที่แคมป์เช่นนี้ทุกวัน วันสุดท้ายก่อนจะกลับ ผมก็นึกได้ว่าน้องสาวสั่งเรื่องลูกชะนี ผมจึงบอกพวกนายพรานว่าอยากได้ลูกชะนี พวกนายพรานบอกผมว่า ถ้าอยากได้ลูกชะนีต้องยิงแม่ชะนีให้ตายก่อนจึงจะได้ลูก เพราะลูกชะนีจะเกาะอยู่ที่หน้าอกของแม่ตลอดเวลา ขณะนั้นผมไม่ได้นึกถึงบาปกรรม เพียงแต่อยากได้ลูกชะนีมาฝากน้องสาว ผมจึงให้พรานพาผมไปในป่าโปร่งที่มีชะนี และมองเห็นชะนีได้ชัดๆ พรานก็พาผมไป บริเวณที่ไปนั่นเป็นป่าโปร่ง มีต้นไม้สูงห่างกันเป็นระยะ มองเห็นชะนีได้ชัด บริเวณนั่นเป็นภูเขาดินเตี้ยๆ มีหลายลูกอยู่สลับกัน ผมเห็นชะนีหลายตัว มีตัวหนึ่งซึ่งกอดลูกเล็กๆไว้ที่หน้าอก ผมก็หมายตาไว้ พรานก็ช่วยไล่ชะนีให้มาทางผม พอชะนีมาทางผม ผมก็ยกปืนจะยิงชะนี ชะนีก็หนีไปต้นไม้อื่น ผมก็พยายามวิ่งไล่ยิงแต่ก็ผิด เมื่อชะนีหนีผมไปมาหลายครั้ง ชะนีคงเหนื่อยก็หยุดเกาะกิ่งไม้เฉยอยู่ ส่วนผมนั้นเมื่อไล่ตามชะนีไปมาหลายครั้งก็เหนื่อย เมื่อเหนื่อยมือก็สั่น พอชะนีหยุดผมก็ยกปืนยิงแม่ชะนี ทั้งๆที่ผมเป็นคนยิงปืนแม่น แต่ด้วยความเหนื่อย มือสั่นทำให้ผมยิงพลาดไปถูกขาขวาของลูกชะนี ขาลูกชะนีก็หักห้อยลง ผมเห็นลูกชะนีเอามือจับขาที่ห้อยลงแล้วก็ยกขึ้นพร้อมกับร้อง ผมก็ตกใจและเสียใจในการกระทำของผม ผมจึงตัดสินใจยิงลูกชะนีให้ตาย เพื่อจะได้ไม่ทรมาน พร้อมกันนั้นผมก็ส่งปืนให้พรานถือไว้ และบอกกับพรานว่าเลิกกันที ต่อไปนี้ผมจะเลิกเข้าป่ายิงสัตว์ และผมก็เลิกมาตั้งแต่วันนั้น และไม่ยอมฆ่าสัตว์อีกเลยนอกจากพวก ยุง มด และปลวก
     
     
    ประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๑ ผมไปขุดดินปลูกต้นไม้ โดยขุดด้วยจอบ ไม่ทราบว่าฟันดินท่าไหน รู้สึกแปล๊บที่ปั้นเอว แล้วร้าวไปสะโพกขวาเรื่อยไปจนถึงนิ้วก้อยเท้าขวา ผมก็หยุดขุดดิน กลับมาบ้าน ทำการนวดบริเวณที่ปวดด้วยน้ำมันและกินยาแก้ปวด แล้วก็นอนพัก อาการปวดก็ทุเลา รุ่งขึ้นก็ไปเอ็กซเรย์ดูกระดูกสันหลังตรงบั้นเอว ดูจากเอ็กซเรย์แล้ว หมอเอ็กซเรย์ก็บอกผมว่า ขณะขุดดินอาจจะเอี้ยวเอวแรงไปทำให้กระดูกทับเส้น ไม่น่าจะเป็นมาก จากนั้นผมก็ได้ทาถูนวดด้วยยา และรับประทานยาแก้ปวดตลอดมา อาการก็ทรุดหนักลง อยู่ๆเวลาเดินบางครั้งก็เดินปกติ พอนึกจะปวดขึ้นมาก็ปวดจากสะโพกลงไปขาทุกครั้ง อาการปวดเป็นมากจนต้องฉีดยาชา เข้าไปที่เส้น ฉีดและกินยาก็ไม่หายปวด ได้ซื้อเข็มขัดรัดเอวสวมใส่ อาการก็เหมือนเดิม นึกจะปวดขึ้นมาละก็บางครั้งต้องคลานจากชั้นบนลงมาชั้นล่าง เพราะเดินไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมนึกถึงกฎแห่งกรรมตามทันในการยิงถูกขาขวาลูกชะนี ( เมื่อเดือน เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๐ ) ผมก็ทรมานด้วยการปวดเช่นนี้มาตลอด ผมจึงได้ตั้งอธิฐานจิตถึงลูกชะนีว่าขออโหสิกรรมให้ผมด้วย เพราะผมทำบาปไปด้วยความคะนอง ทุกครั้งที่ผมทำบุญผมจะกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรและลูกชะนีทุกครั้ง และขออโหสิกรรมทุกครั้ง เพราะผมไม่ทราบว่าจะทำอย่างไนให้หายปวด ทั้งๆที่ตนเองเป็นแพทย์ การปวดนั้นผมไม่ทราบว่าจะบรรยายได้อย่าไร มันปวดตั้งแต่สะโพกถึงนิ้วก้อยขวาทุกครั้ง จนบางครั้งผมอยากจะกินยานอนหลับให้ตายไปเลย เพื่อจะได้ไม่ทรมานจากการปวด ๒๐ เมษายน ๒๕๔๔ ผมได้ย้ายคลินิกเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังโรงพยาบาลสิงห์บุรี และตั้งจิตอธิฐานว่า ต่อไปนี้จะเลิกกินเนื้อสัตว์ จะกินแต่น้ำข้าว และไวตามิลค์ขวด และผลไม้พร้อมกับปลาตัวเล็กๆเท่านั้น พร้อมกันนั้นผมก็ยังอธิฐานขออโหสิกรรมลูกชะนีตลอดเวลา ทั้งก่อนนอนและเวลากรวดน้ำ อยู่ๆอาการปวดที่เคยปวดก็หายเป็นปลิดทิ้ง ทั้งๆที่ไม่ได้รักษาอะไรเลย เข็มขัดรัดสะโพกก็ไม่ต้องใช้ กลับมาขุดดินได้เหมือนเดิม ทั้งๆที่อายุ ๘๑ ปีแล้ว และขณะที่เขียนบันทึกนี้ก็ไม่เคยปวดอีกเลย แสดงว่าการทำบุญและการขออโหสิกรรมที่ได้ขอตลอดมาได้รับการอโหสิกรรมจากเจ้ากรรมนายเวรและลูกชะนีที่ผมยิงแล้ว และผมก็พยายามสอนคนเรื่องการล่าสัตว์ว่าอย่าทำเลย เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งหลายก็มีความเจ็บปวดเมื่อถูกทำร้าย และกลัวตายกันทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่าบาปกรรมนั่นมีจริง โดยเฉพาะตัวผม กรรมตามทันตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ผมจะทำบุญทำทานมากก็จริง แต่ไม่สามารถลบล้างกรรมนั้นได้
     
    คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.html หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ 

     

    ____________________________________________________________________

     

    สิบสองปีต่อมา.......

     

    ASTVผู้จัดการ - “หมอเทวดา” นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ ผู้เป็นความหวังของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่รักษาด้วยสมุนไพร สิ้นแล้วด้วยวัย 93 ปี เจ้าหน้าที่ยันคลินิกยังเปิดสานเจตนารักษาผู้ป่วยเหมือนเดิมโดยทายาทผู้เป็นหลานชาย
           
           วงการแพทย์ทางเลือกสูญเสียครั้งสำคัญ เมื่อ นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ หรือ “หมอเทวดา” ที่รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยสมุนไพร เสียชีวิตอย่างสงบด้วยวัย 93 ปี ที่โรงพยาบาลศิริราช ด้วยอาการไตวายเฉียบพลัน เมื่อช่วงเช้า 07.40 น.ที่ผ่านมา (11.ต.ค.) จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่คลินิกของนพ.สมหมาย หลังเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2556
           
           นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ เกิดเมื่อวันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2464 จบการศึกษาจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างปี 2488-2489 เข้ารับราชการเป็นอาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมาจบการศึกษาการแพทยศาสตร์บัณฑิต ศิริราชพยาบาลในอีก 2 ปีต่อมา ปี พ.ศ.2494-2495 เป็นแพทย์ประจำอยู่ที่สถานเสาวภา ต่อมามาเป็นแพทย์แผนกศัลยกรรมโรงพยาบาลศิริราช กระทั่งปี พ.ศ.2499-2517 ได้ก่อตั้งโรงพยาบาลสิงห์บุรี และเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิงห์บุรี
           
           เมื่อปี พ.ศ.2521 นพ.สมหมาย ทำการศึกษาวิจัยเพื่อใช้ยาสมุนไพรในการรักษาโรคมะเร็ง โดยใช้แพทย์แผนปัจจุบันร่วมกับสมุนไพร ปี พ.ศ.2542 ได้มอบสูตรยาให้กับองค์การเภสัชกรรมโดยร่วมงานกับ ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ ผู้ได้รับรางวัลแม็กไซไซ
           
           จนปี พ.ศ.2552 ก็ประสบความสำเร็จในการคิดค้นเป็นสูตรยาตำรับแรกของเมืองไทยที่เป็นที่ยอมรับในการรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบัน
           
           นพ.สมหมาย เปิดคลินิกรักษาโรคมะเร็งอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรี โดยอุทิศแรงกาย แรงใจ และเวลาเพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง
           
           หลังการเสียชีวิตของ นพ.สมหมาย เจ้าหน้าที่คลินิกเปิดเผยกับทีมข่าว ASTVผู้จัดการว่า คลินิกจะยังคงเปิดทำการตามปกติ โดยมี พ.ท.นพ.นิกร ไวประดับ หลานแท้ๆ ของ นพ.สมหมาย ซึ่ง นพ.สมหมาย ฝึกฝนและส่งให้เรียนเฉพาะด้านการรักษาโรคมะเร็ง โดยจะยังใช้สูตรและวิธีการเดียวกับที่ นพ.สมหมายใช้มาก่อน
           
           สำหรับศพของ นพ.สมหมาย จะนำศพออกจากโรงพยาบาลศิริราช มารดน้ำศพและตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดสังฆราชาวาส อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ในวันที่ 12 ตุลาคม 2556 เวลา 16.00 น.และมีกำหนดการพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 19 ตุลาคม 2556 เวลา 16.00 น.
           
           ตำนานหมอเทวดา 
           
           ก่อนหน้านี้ ASTVผู้จัดการ Live-Lite ได้เจาะประวัติและผลงานของ “หมอเทวดา” นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ นี้ไว้พบว่า ท่านเป็นผู้เป็นความหวังให้แก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งได้กลับมีชีวิตใหม่อีกครั้ง ด้วยการอุทิศแรงกาย แรงใจ และสละเวลาตลอดชีวิตของการทำงานเพื่อค้นหาสูตรยาสมุนไพรที่จะมาพิชิตโรคร้าย แม้ว่าตอนนี้วัยจะล่วงเลยมาถึง 90 กว่าปีแล้ว แต่ก็ยังรับปรึกษาปัญหาโรคมะเร็งอยู่มิได้ขาด เพื่อแลกกับการต่อลมหายใจให้กับผู้คนนับร้อยนับพันชีวิต จนได้รับการขนานนามว่า “หมอเทวดา”
           
           “หมอเทวดา” ชื่อที่ชาวบ้านต่างพากันเรียกขาน ด้วยกิตติศัพท์ที่สามารถรักษาโรคมะเร็งร้ายให้หายได้ ด้วยวีธีการรักษาแบบผสมผสาน ระหว่างยาสมุนไพรที่ทดลองศึกษามานาน ควบคู่กับยาแผนปัจจุบัน จนมีผู้ป่วยหลายรายหายป่วย และบางรายอาการดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
           
           จากการบอกเล่าของผู้ป่วยที่มาทำการรักษา จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง ไม่นานชื่อเสียงของ “หมอเทวดา” แห่งสิงห์บุรีก็เป็นที่รู้จักไปทั่วทุกหนระแหง
           
            “อย่าเรียกผมว่าเป็นหมอเทวดาเลย เพราะผมเป็นเพียงแค่หมอธรรมดาเท่านั้น” แม้ว่า นพ.สมหมาย จะปฏิเสธชื่อ “หมอเทวดา” ที่ชาวบ้านขนานนามให้ แต่นั่นไม่ได้สำคัญเท่ากับการเป็นที่ยอมรับด้วยแรงศรัทธาของผู้คนถึงความตั้งใจในการรักษาเพื่อผู้ป่วยมะเร็งอย่างแท้จริง
           
           หมอสมหมาย มีความสามารถวินิจฉัยและวิธีการรักษาโรคมะเร็งมานานกว่า 30 ปี โดยเริ่มทดลองใช้สมุนไพรรักษาโรคมะเร็งมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2512 จนประสบความสำเร็จในปี พ.ศ.2520 และได้ลาออกจากราชการมาเพื่อรักษามะเร็งโดยเฉพาะ
           
            “สมุนไพร” รักษามะเร็งรอด! 
           
           เกือบครึ่งศตวรรษแล้ว...ที่หมอผู้เสียสละได้อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งให้พบทางรอดอีกครั้ง
           
           ตามประวัติพื้นเพเดิมของ นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ เป็นคนจังหวัดสิงห์บุรี สำเร็จการศึกษาจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะเข้าศึกษาต่อทางการแพทย์ที่ศิริราช และทำงานในร้านขายยาเพื่อส่งเสียตัวเองเรียนจนกระทั่งสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ.2494
           
           หลังสำเร็จการศึกษาได้เข้าทำงานประจำแผนกศัลยกรรมที่โรงพยาบาลศิริราช และสนใจเรื่องการรักษามะเร็งเนื่องจากการรักษาโรคอื่นทางศัลยกรรมสามารถรักษาให้หายได้ง่าย แต่การรักษามะเร็งไม่ว่าจะผ่าตัด หรือฉายแสง สามารถทำได้ยาก จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดค้นหายาสมุนไพร มาช่วยในการรักษามะเร็ง
           
           ด้วยจิตสำนึกอยู่เสมอว่า “ในโลกนี้ธรรมชาติทำให้เกิดโรค ธรรมชาติก็ต้องมีตัวยาแก้โรคให้ด้วย”
           
           หมอสมหมายได้ทำการค้นคว้าวิจัยการแพทย์ทางเลือกอย่างสมุนไพร จึงทำให้เกิดเส้นทางใหม่ที่เรียกว่า“การแพทย์ทางร่วม” ในการรักษามะเร็ง หลังจากย้ายไปสร้างความเจริญให้กับโรงพยาบาลตำรวจ แล้วลาออกเพื่อไปเป็นหมอที่บ้านเกิด คือ โรงพยาบาลสิงห์บุรี ด้วยเหตุผลสั้นๆ ว่า “ที่นี่ผมได้ทำงานที่ตั้งใจ พร้อมได้อยู่ดูแลคุณแม่ไปพร้อมๆ กัน”
           
           คลินิกหมอสมหมาย จึงเกิดขึ้น ณ บ้านไม้หลังใหญ่ ข้างตลาดปลาสด จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งเป็นที่รู้จักดีของชาวบ้านละแวกนั้น รวมทั้งคนต่างจังหวัดที่เข้ามารับการรักษาตามคำร่ำลือถึงกิตติศัพท์ “หมอเทวดา” จากที่เคยเปิดการรักษาโรคทั่วไป ได้ถูกปรับปรุงให้เป็นสถานที่สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งอย่างจริงจัง...ท่ามกลางความหวังของผู้เข้าทำการรักษาจำนวนมาก
           
           ความหวังของผู้ป่วยนับพันชีวิต
           
           ราวๆ 05.00 นาฬิกา ผู้ป่วยจากทั่วสารทิศต่างเดินทางมาเพื่อรอลงชื่อเข้ารับการรักษา บางรายมารอคลีนิกเปิดตั้งแต่ตี 2 ทันใดที่ประตูเปิดคลื่นผู้ป่วยนับร้อยต่างกรูเข้าไปเพื่อรอรับการรักษา ด้วยใบหน้าอย่างมีความหวังถึงผลการรักษาที่ดีขึ้น
           
           การรักษาผ่านไปคนแล้วคนเล่า จากประสบการณ์การรักษาทั้งผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งระยะเบื้องต้นซึ่งพอรักษาเยียวยาให้หายขาดได้ และผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ทำได้เพียงแค่ยืดเวลาชีวิตออกไป แม้เป็นความหวังที่ริบหรี่ แต่ก็ทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจขึ้นมาได้บ้าง และนั่งรออย่างใจจดใจจ่อ แม้ว่าข้อความบนบอร์ดกระดานจะรายงานคิวที่ยาวเหยียดมากเท่าใดก็ตาม
           
           ในทุกวันผู้ป่วยมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นร่วมๆ 100 กว่าคน ซึ่งเป็นผลมาจากสื่อที่เผยแพร่ออกไป ทั้งหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ ต่างประโคมข่าวไปทั่วทุกหนแห่ง แต่หมอสมหมายยังยืนยันเช่นเดิมว่า “จะตรวจทุกคน ไม่ต้องกลัวมาเสียเที่ยว” กว่าผู้ป่วยจะหมด เข็มนาฬิกาก็บอกเวลาเที่ยงคืนพอดี ถือเป็นอันจบภารกิจการทำหน้าที่ “หมอ” ของวันจรดคืน
           
           ก่อนจะเสียชีวิต ทุกๆ วันหมอสมหมาย ได้ทุ่มเทกำลังเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยตั้งใจไว้ว่าจะเกษียณตัวเองเมื่ออายุ 90 ปี เพื่อพักผ่อนในบั้นปลายชีวิต แต่อย่างไรก็ตามยังคงรับปรึกษาปัญหาโรคมะเร็งต่อไป
           
           “ปกติตามธรรมชาติใบไม้จะร่วงปีละ 1 ครั้ง เมื่อข้าพเจ้าอายุครบ 90 ปี ข้าพเจ้าจะเลิกรักษาโรคมะเร็งแล้วใบไม้จะร่วงตลอดทั้งปี”
           
           มะเร็งคือโรคร้ายที่คร่าชีวิตของมนุษย์ราวใบไม้ร่วงทุกปี มีคนเสียชีวิตจากมะเร็งเป็นจำนวนมาก จัดเป็นโรคที่คร่าชีวิตอันดับต้นๆ ของไทย นพ.สมหมาย ได้นิยามมะเร็งร้ายไว้อย่างเห็นภาพชัดเจนว่า
           
           มะเร็ง คือ โรคร้ายที่ย่องเข้ามา “ขโมย” ทุกอย่างจากชีวิตเราไป โดยไม่ทันระวังตัวเหมือนกับที่คนไข้ทุกคนต้องประสบ
           
           โรคมะเร็ง คือ “ผู้ร้าย” ซึ่งร้ายที่สุด และมันจะหนีตำรวจสุดฤทธิ์ แม้การแพทย์จะให้ทำการเคมีบำบัดก็ไม่สามารถทำให้หายขาดได้ และเป็นเซลล์ร้ายที่เหมือนกับเศษ “ขี้ผง” ที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างกายภายในอวัยวะของคน กวาดยังไงก็ไม่มีวันหมด วันนึงมันก็จะสะสมและเกาะแน่นขึ้นกว่าเดิม
           
           ด้วยสาเหตุนี้การแพทย์ทางร่วมของหมอสมหมายจึงสามารถชลอใบไม้ร่วงในแต่ละปี เปรียบได้กับการช่วยชีวิตคนให้พ้นจากความเจ็บป่วย จนกลับไปใช้ชีวิตได้ดังเดิมอีกครั้งนับร้อยนับพันชีวิต
           
           สูตรยาไม่ตายไปพร้อมกับผม
           
            “ผมยกสูตรยานี้ให้องค์การเภสัชฯ ไปแล้ว แทนที่สูตรยาจะตายไปกับผม แต่ไม่แล้ว สมุนไพรนี้จะยังอยู่ จะมีคนรับไปต่อยอดจากผมอีกที” นายแพทย์สมหมายกล่าวอย่างดีใจ ที่สูตรยาเหล่านี้องค์การเภสัชกรรมได้นำไปผลิตและจำหน่ายให้คนไทย
           
           โดยสูตรยาสมุนไพร 8 อย่าง ของหมอสมหมาย ประกอบด้วย พุทธรักษา ไฟเดือนห้า ปีกไก่ดำ พญายอ เหงือกปลาหมอ แพงพวย และข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้
           
           สำหรับค่ารักษาพยาบาลที่ผ่านมานั้น หากเป็นการรักษาในโรงพยาบาลมีชื่อทั่วไป ค่ารักษาคงไม่น้อยกว่าหลักหมื่นหรือหลักแสน แต่สำหรับหมอสมหมาย ได้กล่าวติดตลกไว้ว่า “ใครนั่งรถเบนซ์มา ก็แพงหน่อย ใครไม่มีตังค์มา ก็ให้ฟรี!”
           
           ก่อนจะขยายความเสริมว่า “รักษามาเกือบ 40 ปี มีพอกินพอใช้ แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้น มันอยู่ที่ใจ ได้น้ำใจ ได้ทางความรู้สึก แค่นั้นพอแล้ว”
           
           ไม่ใช่เฉพาะคนไทยที่มาทำการรักษากับหมอสมหมาย แม้แต่ชาวต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกที่ได้ยินชื่อเสียงในการรักษาโรคมะเร็งให้หายได้ ต่างก็ข้ามน้ำข้ามทะเลมาให้รักษาด้วยความหวังที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติสุข
           

หมายเลขบันทึก: 550768เขียนเมื่อ 12 ตุลาคม 2013 19:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 ตุลาคม 2013 21:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

...รำลึกถึง...และร่วมไว้อาลัย ...นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ "หมอเทวดา"นะคะ

ผลของกรรมไม่ดีที่ทำไว้ และบุญกุศลที่สร้าง

ต่างมีที่มา ที่ไปต่างกัน  เหมือนเส้นขนาน 2 เส้น

เราปุถุชนคนธรรมดาจึงทุกข์และสุข คละเคล้ากันไป ครับ

 

คุณหมอสมหมายท่านมีความสุขแล้ว กับภาระตรากตรำนานับประการ

น่าสุขใจแทนคนเป็นโรคมะเร็งนะครับ  ที่ท่านมอบตำรับยาให้องค์การเภสัชกรรม

เื่พื่อผลิตให้ผู้ป่วยได้ใช้รักษาตนเอง และลูกหลานของท่านยังคงดำเนินการรักษาผู้ป่วยที่คลินิคเหมือนเดิม

ได้อ่านเรื่องของคุณหมอ ทึ่งมาก

กรรมมีจริงนะครับ

ขอบคุณพี่คนบ้านไกลมากๆครับ

ขอบคุณค่ะ

ท่านไปสู่สุขคติแล้ว

จากไปแต่ตัว 

ทิ้งความดีไว้ช่วยชีวิตผู้คน

ขอให้ความปรารถนาของท่านอยู่เหนือกรรมใดๆ

ให้ผู้ป่วยมะเร็งได้มีโอกาสรักษาด้วยยาของท่านทุกๆคนด้วยเถิด

สาธุ อนุโมทนาผู้กระทำกรรมดีทุกคน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี