(ต่อ)
Equity
theory |
ข้อสนับสนุน
-
มุ่งไปที่การรับรู้ของแต่ละบุคคลถึงความยุติธรรมในสังคมและการพยายามรักษาความสมดุลภายในจิตใจ(
-
กล่าวว่าเป็นความพยายามที่จะรักษาสมดุลทางจิตใจ
ซึ่งเป็นความจริงเพราะมนุษย์ต้องการความสอดคล้องภายในจิตใจ
สามารถอธิบายถึงสาเหตุของพฤติกรรมองค์กรต่างๆที่เกิดขึ้นได้
-
อธิบายว่าโดยปกติเราจะเปรียบเทียบความยุติธรรมในการทำงานระหว่างสิ่งที่ทำให้กับองค์กร
(inputs) กับผลตอบแทนที่ได้รับจากองค์กร (outcomes) การที่จะรู้ว่าได้รับความยุติธรรมหรือไม่ก็โดยเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมงานที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน
โดยการเปรียบเทียบนั้นมีพื้นฐานอยู่บนการรับรู้ (perception) ของแต่ละคน
ผลตอบแทนที่ตนได้รับจากองค์กร
=
ผลตอบแทนที่ผู้อื่นได้รับจากองค์กร
สิ่งที่ตนได้ทุ่มเทให้กับองค์กร
= สิ่งที่ผู้อื่นได้ทุ่มเทให้กับองค์กร
ทำให้สามารถทำนายการขาดงาน
การลาออกของพนักงานได้
- ถ้าตนถูก treat
ไม่ดีทำให้เกิด inequity ส่งผลถึงการทำงานอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง ไม่ทำงานหรือลาออกก็เป็นได้
เป็นตัวทำนายที่มีความแม่นยำสูง
- มีการวิจัยที่ยืนยันว่า
inequity สามารถมีผลกระทบสำคัญต่อแรงจูงใจในการทำงานและสามารถนำไปสู่ความขุนเคืองใจ
ความไม่พอใจ ความแค้นใจ
การขาดงานและการลาออก(Cropanzano&Greenberg,1997)
ข้อโต้แย้ง
-
พนักงานทำงานหนักหรือลงทุนลงแรงมากว่าพนักงานคนอื่น inputs
มากกว่าคนอื่น คำว่า “หนัก”ของแต่ละคนไม่เท่ากัน เช่น
นายแดนได้รับมอบหมายจากประธานกรรมการของบริษัทให้เป็นหัวหน้าในการคิดวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทแต่นายแดนไม่คิดว่าเป็นงานที่หนัก
ส่วนนายบีมได้รับมอบหมายให้แก้ปัญหาที่จอดรถไม่พอของบริษัทแต่กลับคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่หนักและตนไม่สามารถแก้ไขได้
- การกำหนดความหมายของ
inputs และ outcomes ไม่ชัดเจน
เป็นเรื่องของการรับรู้ของบุคคล(perception)
ไม่สามารถวัดได้อย่างชัดเจนเช่น นายกอล์ฟมาถึงที่ทำงานก่อนเวลา 15 นาทีทุกวัน แต่นายไมค์มาทำงานสาย 15 นาทีทุกวัน
นายไมค์อาจมองว่านายกอล์ฟขยัน ทำงานหนัก
แต่ในขณะเดียวกันนายกอล์ฟกลับมีความคิดว่าการมาก่อนเวลาทำงานเป็นเรื่องปกติที่ไม่ได้แสดงถึงการทำงานเกินหน้าที่หรือทำงานหนักแต่ประการใด
- การเลือกพนักงานตนอื่น
(others) ที่จะมาเปรียบเทียบไม่ชัดเจน
- เมื่อพนักงานเกิด
inequity จะเพิ่ม inputs หรือลด inputs ขึ้นอยู่กับแต่ละคน
บางคนอาจบิดเบือนการรับรู้ของตนเองว่าความจริงแล้วตนไม่ได้ลงทุนลงแรงมากกว่า
พนักงานคนอื่นก็มี inputs
เท่ากับตนเป็นการหลอกตัวเองเพื่อทำให้สบายใจและลดความไม่สอดคล้องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการนำทฤษฎี
defense mechanism
มาใช้อธิบายประกอบเพราะตัวทฤษฎีเองไม่สมารถอธิบายได้อย่างชัดเจน
Reinforcement
Theory |
ข้อสนับสนุน
·
เชื่อว่าการจัดกระทำกับตารางการเสริมแรง (reinforcement
schedule) จะส่งผลกับแรงจูงใจของคน
·
พนักงานปลูกต้นไม้ที่ได้รับเงินด้วยหลักการเสริมแรงตามอัตราส่วน
(ratio
schedule) เช่น จ่ายเงินตามจำนวนต้นไม้ที่ปลูกได้
พนักงานเหล่านั้นจะปลูกต้นไม้ได้จำนวนมากกว่าพนักงานที่ถูกเสริมแรงตามช่วงเวลา คือ
จ่ายเงินเป็นชั่วโมง (Yukl & Latham,1975) (Yukl, Latham, &
Pursell,1976)
·
มีการทดลองความสามารถในการสอบผ่านข้อสอบวัดความรู้ทางไฟฟ้า
ระหว่างพนักงานที่ได้รับค่าจ้างเป็นรายชั่วโมงกับพนักงานที่รับค่าจ้างตามจำนวนครั้งที่สอบผ่าน
(มี 2 เงื่อนไข ได้แก่ ให้ทุกๆ 3 ครั้งที่สอบผ่าน กับ
สุ่มครั้งที่จะให้เมื่อสอบผ่าน) ผลการทดลองออกมาว่า
พนักงานที่ได้รับเงินจากการจ่ายตามความสามารถในการสอบผ่านนั้นจะสอบผ่านร้อยละ 60
ส่วนร้อยละ 40 ที่เหลือคือ พนักงานที่ได้รับเงินจากการจ่ายตามเวลา
แต่การทดลองครั้งนี้ไม่พบความแตกต่างระหว่างการเสริมแรงตามอัตราส่วนที่แน่นอนและไม่แน่นอน
(fixed and
variable ratio)
·
Pedalino และ
Gamboa (1974) ใช้ทฤษฎีการเสริมแรงอธิบายพฤติกรรมการขาด-การลางาน
โดยการแจกไพ่โปเกอร์ให้กับพนักงานที่มาทำงานตรงเวลา พอสิ้นสัปดาห์ก็ให้เงินรางวัล
20 ดอลลาร์กับคนที่ได้ไพ่ดีที่สุด ซึ่งในกรณีนี้
การเข้ามาทำงานตรงเวลาถูกเสริมแรงโดยรางวัลที่เป็นตัวเงิน
พนักงานจึงเข้ามาทำงานตรงเวลามากกว่าตอนที่ยังไม่ได้ใช้การแจกไพ่นี้
·
ทฤษฎีการเสริมแรงเอาไปใช้ได้กับการลดการขาด-ลางาน,
การลาออก, เพิ่มผลผลิต และการทำให้ดูแลฝึกฝนดีขึ้น
·
กรณีของ Emery Air Freight บอกว่า หลังจากที่เอาระบบการเสริมแรงทางบวกมาใช้ สามารถลดค่าใช้จ่ายได้ถึง
3 ล้านเหรียญ
·
Stajkovic และ
Luthans (1997) รายงานว่าประมาณร้อยละ 17
ของบริษัทที่ผลการทำงานดีขึ้นได้ใช้ทฤษฎีการเสริมแรง
·
Komaki (2003) สรุปว่า มีการศึกษามากกว่าร้อยละ 90
ที่แสดงให้เห็นว่าการเสริมแรงทางบวกนั้นมีประสิทธิภาพในการปรับพฤติกรรมและไม่ได้มีผลแค่ระยะสั้นๆ
·
การเสริมแรงสามารถเพิ่มพฤติกรรมให้มีความเข้มข้นและมีแนวโน้มทำให้เกิดขึ้นซ้ำอีกได้
·
รางวัลเป็นอะไรที่ใครๆก็อยากได้
·
วิศาล (2545) เสนอว่า
บังคับใช้ระบบประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างจริงจัง
เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ตระหนักถึงงานในหน้าที่ที่รับผิดชอบ
และควรให้ผลตอบแทนตามผลการปฏิบัติงานจริง
(pay-for-performance)
ข้อโต้แย้ง
·
ทฤษฎีการเสริมแรง
มิได้มุ่งเน้นไปที่ตัวคนแต่ละคน
แต่เน้นไปที่ปัจจัยสภาพแวดล้อมโดยรวมที่จะมาปรับพฤติกรรม
ดังนั้นจึงไม่ค่อยสนใจว่าคนแต่ละคนจะชอบรางวัลอะไร
จะทึกทักเอาเองว่าคนจะชอบรางวัลแบบนี้กันทุกคน
ซึ่งความชอบรางวัลที่แตกต่างกันของแต่ละคนนั้นจะทำให้ความสำเร็จของการเสริมแรงค่อยๆลดลง
·
ยังมีความไม่คงเส้นคงวาของผลจากตารางการเสริมแรงในแต่ละแบบ
·
ทฤษฎีการเสริมแรงไม่ทราบเกี่ยวกับคุณภาพของผลการทำงานที่ถูกกระทบ,
ผลระยะยาวของการใช้ตารางเสริมแรง , เจตคติของคนต่อวิธีการจูงใจแบบต่างๆ
·
มีปัญหาเกี่ยวกับศีลธรรมจรรยา
กล่าวคือ ทฤษฎีการเสริมแรงสามารถเพิ่มผลผลิตได้จริง
แต่ก็มีประเทศสวีเดนที่ไม่สนับสนุนการจ่ายเงินแบบตามจำนวนชิ้นงานที่ได้
เพราะว่ามันทำให้คนงานมีแรงกดดัน
และทำร้ายทั้งสุขภาพทางกายและจิตใจของคนงานเป็นอย่างมาก
นอกจากนั้นยังมีหลักฐานว่าผู้ทำงานในช่วงระยะสั้นๆและงานนั้นเป็นงานที่น่าเบื่อซ้ำซากจะชอบการจ่ายเงินเป็นรายชั่วโมงมากกว่าจ่ายตามชิ้นงาน
พวกเขาคิดว่าระบบจ่ายตามจำนวนชิ้นงานนั้นควบคุมพวกเขา
·
Kohn คัดค้านเกี่ยวกับการให้รางวัลเพื่อเพิ่มผลการทำงาน เขากล่าวในหนังสือ
Punished by
Rewards ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ
ไม่ว่าหลักการใดๆที่เสนอรางวัลให้เพื่อผลการทำงานที่ดีขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ไร้ประสิทธิภาพ
·
ผู้ที่เอาทฤษฎีไปใช้จริงยืนยันว่าจากประสบการณ์ที่พบนั้น
เกิดปัญหาจากการใช้วิธีจ่ายเงินตามผลงานที่ได้ (pay-for-performance
program) เช่น Richard Layard กล่าวไว้ในหนังสือ Happiness: Lessons from a New Science ว่า
การตั้งเป้าหมายและดึงดูดใจให้ทำงานโดย pay for performance อาจทำให้แรงจูงใจเดิมลดลงและอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดของการเพิ่มปฏิรูปภาครัฐ
เนื่องจากคนจะมีความสุขและความภูมิใจในงานของตนและการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นแรงจูงใจที่สำคัญในการทำงาน
(satisfaction of professional norm) เป็นต้น
Social
Learning Theory |
ข้อสนับสนุน
·
Self-efficacy สัมพันธ์กับ work-related performance
·
พนักงานที่ประสบความสำเร็จจะถูกเรียนจากตัวแบบ
ถูกสนับสนุนและกระตุ้นจากงานที่ให้ไป จะมี self-efficacy และทำงานได้ดี
แสดงความคิดเห็นว่าควรจะใช้ทฤษฎีใดในการจูงใจจึงเหมาะสมกับคนไทย
จงอภิปรายและยกตัวอย่าง
ไม่มีทฤษฎีใดที่สามารถใช้ได้เหมาะสมกับการทำงานของคนไทยครบถ้วน100เปอร์เซนต์ เพราะทฤษฎีล้วนมีข้อโต้้แย้งและข้อสนับสนุนเราจึงสรุปข้อที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมกับการทำงานของคนไทยโดยแบ่งเป็นแต่ละทฤษฎีดังรูปภาพที่1
ต่อไปจะขออธิบายความเหมาะสมของแต่ละทฤษฎีต่อลักษณะนิสัยของคนไทย
Need
Theory |
คนไทยมีความยืดหยุ่นอย่างมากในการทำงาน ต้องการความสะดวกสะบายในการทำงาน
ทฤษฎีนี้อธิบายอย่างง่ายถึงความต้องการของแต่ละคนที่ต่างกัน
แต่ละคนเลือกขั้นของความต้องการของตน เพราะแต่ละคนต้องการความสะบาย
หรือตำแหน่งหน้าที่ในการทำงานต่างกันเลือกสนองความต้องการได้ตามต้องการ เช่น
นายธีร์พรต้องการไปถึง self
actualization ดังนั้นในการทำงานนายธีร์พรจึงต้องการทำงานที่มีความท้าทาย
ต้องการความก้าวหน้า ความสำเร็จในการทำงาน
มีความต้องการสูงสถดในบรรดาความต้องการทั้งหมด
ก็จะมีผลกระทบต่อความตั้งใจในการทำงาน ต่างจากนายมานนท์ที่มี need for
social or love มุ่งเน้นไปที่ความรักจากเพื่อนร่วมงาน
มุ่งไปที่คนมากกว่ามุ่งไปที่งานเน้นความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน
ชอบทำงานกับกลุ่มเพื่อนที่เข้ากันได้
อาจส่งผลให้งานมีประสิทธิภาพด้อยกว่านายธีร์พรที่มุ่งเน้นไปที่งานโดยตรง
ที่เป็นเช่นนี้เพราะแต่ละคนมีความต้องการที่ต่างกัน
หัวหน้าควรมีการกระตุ้นความต้องการของพนักงานให้อยู่ในระดับสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
เพราะวิธีการของทฤษฎีนี้เป็นที่นิยมมากในวงการธุรกิจ
Expectancy
Theory |
คนไทยชอบการได้รับรางวัล(rewards)เมื่อได้ทำงานไปแล้วก็เชื่อว่าผลของการกระทำนั้นจะส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนหรือรางวัล
คนไทยเชื่อในกฎแห่งกรรมตนทำอะไรไว้ก็ได้ผลอย่างนั้น
เมื่อทำงานก็หวังจะได้intrinsic
rewards เช่น เกิดความภูมิใจในความสำเร็จของงานว่าตนมีความสามารถ
เป็นต้น หรือ extrinsic rewards เป็นรางวัลที่ผู้อื่นให้ เช่น
โบนัส การเลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น
คนไทยชอบรับคำสั่งมากกว่าเป็นหัวหน้าดำเนินการดังนั้นเมื่อได้รับคำสั่งให้ทำงานที่ได้รับมอบหมายก็เกิดความดาดหวังว่าต้องทำงานนั้นให้ออกมาดีเพื่อผลจะได้พอใจของตนเองรวมทั้งหัวหน้างานด้วย
และถ้าได้รางวัลตามความคาดหวังก็จะยิ่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมนั้นอีก
คนไทยชอบคาดหวังโดยเฉพาะในเรื่องของบุญวาสนาหวังว่าจะส่งผลให้ตนมีความก้าวหน้าในชีวิตในอาชีพการงานดังนั้นหัวหน้าควรใช้ความคาดหวังในตัวของลูกน้องที่มีอยู่มาแปลเปลี่ยนให้เป็นแรงจูงใจในการทำงาน
งานที่ทำนั้นก็จะออกมาประสิทธิภาพ
Goal-setting
Theory |
ทฤษฎีการตั้งเป้าหมายเหมาะสมกับคนไทย
เนื่องจากคนไทยมีลักษณะการดำเนินชีวิตแบบสบายๆ ตามใจตนเอง
ชีวิตไม่ค่อยมีการวางแผนและกำหนดเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนในแต่ละคน
ถึงแม้ว่ามีเป้าหมาย แต่คนไทยก็มักจะมองเฉพาะเป้าหมายเป็นหลัก
โดยที่วิธีการที่ได้มาซึ่งเป้าหมายนั้นจะไม่ค่อยตายตัว
ซึ่งทำให้เกิดอุปสรรคต่างๆอยู่ตลอดเวลา(สำนักนโยบายและมาตรฐาน, ไม่ปรากฏปี)
และจากการรวบรวมข้อมูลดิบเรื่องการรับรู้ของชาวต่างประเทศเกี่ยวกับผู้ร่วมงานคนไทย
(Kriengsak Niratpattanasai, 2001) พิจารณาได้ว่าสิ่งที่ชาวต่างประเทศมองคนไทยเกี่ยวกับการทำงาน คือ
จัดการกับเวลาไม่ได้, จับกลุ่มได้ดีแต่ขาดความร่วมมือทำงานกันเป็นทีม,
ไม่ตั้งเป้าหมาย, ใจเย็น, มีระบบอุปถัมภ์, อดทนอดกลั้นดี, ไม่ชอบเสนอความคิดเห็น
เป็นต้น
ลักษณะของคนไทยเช่นนี้
สามารถแก้ไขโดยนำทฤษฎีการตั้งเป้าหมายมาใช้ ได้แก่ Muchinsky กล่าวว่า การตั้งเป้าหมายสามารถเพิ่มผลการทำงานของกลุ่มได้
ซึ่งทำให้คนไทยที่ทำงานเป็นกลุ่มแต่ไม่ได้ทำงานเป็น “ทีม” ได้พัฒนาความสามารถให้มีการทำงานกันเป็นทีม
อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ช่วยกำหนดให้งานของกลุ่มเสร็จทันเวลาอีกด้วย
ถ้าเราไม่ตั้งเป้าหมายของกลุ่มและเป้าหมายส่วนตัว การทำงานของทั้งกลุ่มก็จะแย่
แต่บางครั้งการคำนึงถึงเป้าหมายส่วนตัวที่ยากกับตนเองเพียงคนเดียว
ก็ยังมีแรงจูงใจที่จะทำงานต่อไปไม่พอ
ดังนั้นควรที่จะประกาศเป้าหมายอันยากนี้ให้คนอื่นได้รับรู้
จึงจะทำให้เรามีแรงจูงใจที่จะทำงาน เพราะ คนไทยเป็นคนที่กลัวเสียหน้า
กลัวเสียศักดิ์ศรี หากทำไม่ได้ตามที่ตนเคยบอกว่าก็จะเสียชื่อเสียง
จากผลการศึกษาของ
Kanokwan (2004)
พบว่าพนักงานคนไทยจะมีแรงจูงใจเมื่อได้เข้าใจเป้าหมายของตนเองและเป้าหมายขององค์กร
ทำให้พนักงานมีการรับรู้ทางบวกต่อเป้าหมายและองค์กรของตน
และพบว่าการตั้งเป้าหมายในคนไทยมีประสิทธิภาพจริง
กล่าวโดยสรุป
คนไทยควรจะใช้การตั้งเป้าหมายการทำงานเพื่อให้ตนได้มีโอกาสแก้ไขลักษณะนิสัยในการทำงานที่ยังไม่ค่อยดีและเพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานให้มากขึ้นอีกด้วย.
Equity
Theory |
คนไทยชอบความสบายใจดังนั้นเมื่อเกิดความไม่สมดุลในจิตใจก็จะพยายามลดความไม่สอดคล้องที่เกิดขึ้นนั้น
ทำทุกทางเพื่อิอให้ตนมีความสบายใจจนอาจถึงขั้นเปลี่ยนเจตคติattitude
หรือการรับรู้ perception ของตนว่าตนทำงานน้อยไป ทุ่มเทให้กับงานน้อยไป จึงเพิ่มการทำงานเหมือนคนอื่น
ดังนั้นผลที่ออกมาก็เป็นประโยชน์กับบริษัท
ที่สำคัญคนไทยชอบการเปรียบเทียบโดยเฉพาะกับเพื่อนร่วมงานเพื่อดูว่าตนเหมือนกับเพื่อนหรือไม่เพราะกลัวการโดดเด่น
ทำอะไรก็ชอบทำตามเพื่อน
เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานขยันมากขึ้นตนก็กลัวน้อยหน้าจึงเพิ่มความขยันของตนขึ้นด้วย
จะได้รู้สึกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเพื่อน
ต้องการเป็นมิตรกับทุกคน ไม่กล้าแสดงความไม่พอใจ
ถึงแม้จะเกิดความไม่สอดคล้องในจิตใจ แต่พยายามที่จะรักษาน้ำใจของทุกคน
จึงต้องเก็บความไม่สอดคล้องในจิตใจที่เกิดขึ้นนั้นไว้ไม่กล้าที่จะบอกกล่าวหรือแสดงความคิดเห็นกับเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้า
แต่กลับทำงานมากขึ้นตามเพื่อนเพื่อลดความไม่คล้องจองทางปัญญาที่เกิดขึ้น
Reinforcement
Theory |
ทฤษฎีการเสริมแรง
เหมาะกับคนไทยตรงทีเป็นทฤษฎีที่เน้นไปที่อิทธิพลของกลุ่มและสภาพแวดล้อมเป็นตัวปรับพฤติกรรม
ซึ่งสังคมไทยเป็นสังคมที่คนจะอิงกลุ่ม ทำอะไรทำเป็นกลุ่ม มีการแบ่งฝักฝ่าย
ทำให้เมื่อถูกเสริมแรงอย่างเช่น การเสริมแรงโดยการพาไปเที่ยว
ซึ่งบางคนอาจจะไม่ชอบเที่ยวก็ได้
คนๆนั้นก็อาจจะไม่พอใจที่ได้รับรางวัลที่ตนไม่ต้องการ
แต่นั่นคือการวิจัยของชาวตะวันตก ส่วนคนไทยอาจจะคิดว่า “เพื่อนๆก็ไป
เราไปด้วยละกัน ไปกับเพื่อนก็น่าสนุกดี” แต่อย่างไรก็ตามคนก็ต้องการความใส่ใจว่าตนอยากได้รางวัลอะไรอยู่ดี
คนไทยชอบการได้รับรางวัล
จึงเหมาะสมที่จะใช้การเสริมแรงเพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจ เช่น
พนักงานไทยมักจะมาทำงานสาย ขาด ลาบ่อย
บริษัทอาจใช้การมอบไพ่ป๊อกเพื่อชิงรางวัลท้ายสัปดาห์กับพนักงานที่มาทำงานเช้า
ดังนั้นวิธีนี้จึงมีความเหมาะสมกับพนักงานไทยมากเนื่องจากคนไทยชอบเสี่ยงเล่นการพนันในเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว
อีกทั้งยังเป็นการเสริมแรงตามอัตราส่วน (Ratio schedule) ซึ่งการวิจัยพบว่า
การเสริมแรงโดยอัตราส่วนทำให้ผลการทำงานออกมาดีกว่าเสิรมแรงตามช่วงเวลา
นอกเหนือจากประเด็นสิ่งแวดล้อมและช
ไม่มีความเห็น