บทที่ 1
บทนำ
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
คนทุกคนจะพยายามป้องกันตัวเองจากการประเมินผลการทำงานหรือกิจกรรมที่ไม่ค่อยดีหรือไม่สำเร็จโดยใช้กลวิธีปกป้องตัวเอง
(Self-protective
strategies) เพื่อทำให้คนๆนั้นคิดว่าตัวเองยังสามารถทำงานนั้นๆได้ต่อไปโดยที่ไม่ลดละความสนใจลงไป
ผู้วิจัยมีความสนใจว่าถ้าคนทำพฤติกรรมการทำให้ตนเองเสียเปรียบ
(Self-handicapping) แล้วจะมีผลต่อการดำรงหรือเพิ่มแรงจูงใจภายในในการทำกิจกรรมต่างๆหรือไม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่คนๆนั้นไม่มั่นใจในความสามารถในการทำงานหรือกิจกรรมของตน
แนวคิด
ทฤษฎีที่เป็นพื้นฐานการวิจัย
1.การทำให้ตนเองเสียเปรียบ
(Self-handicapping)
เป็นกลไกในการยกสาเหตุเมื่อตนเองล้มเหลว มี 2 วิธี ได้แก่
การทำ (Behavioral Self-handicaps) และการกล่าวอ้าง
(Self-reported Handicaps) เพื่อใช้อธิบายสนับสนุนเหตุผลที่ตนเองเกิดความล้มเหลว
Stephen
Berglas และ Edward Jones
เป็นผู้ที่เสนอภาวสันนิษฐาน (Construct) นี้ขึ้นมา
โดยให้คำจำกัดความวิธีการทำให้ตนเองเสียเปรียบว่า เป็นการกระทำหรือทางเลือกใดๆ
ที่ได้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้าก่อนทีจะมีการแสดงออก
หากการกระทำนั้นประสบกับความล้มเหลว
บุคคลจะหาข้ออ้างโดยยกสาเหตุของความล้มเหลวว่ามาจากสาเหตุภายนอก
แต่ถ้าประสบความสำเร็จก็จะยกสาเหตุว่ามาจากสาเหตุภายใน นั่นคือ
ยอมรับว่าความสำเร็จนั้นมาจากความสามารถของตนเอง (Berglas & Jones,
1978) หลังจากนั้นในปี
1982 Jones และ Rhodewalt ก็ได้พัฒนามาตรวัดการทำให้ตนเองเสียเปรียบ (Self-handicapping
Scale)
งานวิจัยต่างๆที่ศึกษาเกี่ยวกับการทำให้ตนเองเสียเปรียบนั้น
โดยสรุปแล้วแสดงให้เห็นว่าการทำให้ตนเองเสียเปรียบมีผลต่อการยกสาเหตุต่อการกระทำ
การทำให้ตัวเองเสียเปรียบอาจจะทำให้มีการทำงานที่ดีขึ้น
เนื่องจากการทำให้ตนเองเสียเปรียบช่วยลดความวิตกกังวลได้ สรุปแล้ว
การทำให้ตนเองเสียเปรียบเป็นพฤติกรรมที่พยายามทำให้ผู้อื่นรับรู้และยกสาเหตุว่าความล้มเหลวของตนเองนั้น
ไม่ได้มีสาเหตุมาจากตนเอง
แต่มาจากสาเหตุภายนอกที่ตนถูกเสียเปรียบอยู่
2.แรงจูงใจภายใน
(Intrinsic Motivation)
White ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับแรงจูงใจภายใน ว่าเป็นแรงจูงใจที่ประสบผล
(Effectance Motivation)
เพราะร่างกายได้รับการกระตุ้นอยู่แล้ว
และคนๆนั้นเห็นว่าความรู้สึกประสบผลที่ตามมาเป็นรางวัลของพฤติกรรมนั้นๆ
และไม่ต้องมีการเสริมแรงใดๆ
แรงจูงใจภายในมีพื้นฐานจากการที่คนๆนั้นต้องการที่จะมีความสามารถและตัดสินใจได้ด้วยตนเอง
ทำให้คนเราค้นหาและเอาชนะความท้าทายที่น่าพอใจที่สุดอย่างไม่ลดละความพยายาม
การใช้แบบสอบถามวัดแรงจูงใจภายในเป็นการวัดที่มีประโยชน์
และถ้าใช้ร่วมกับมาตรวัดอื่นๆด้วยจะดีมาก
ในหลายการวิจัยพบว่า
สิ่งตอบแทนหรือรางวัลสามารถทำลายแรงจูงใจภายในทีละน้อยได้(Deci & Ryan,
1985)
ความชอบในการทำกิจกรรม
(Task
Involvement) เป็นสิ่งที่แสดงถึงแรงจูงใจภายในได้ดี
การทำให้ตนเองเสียเปรียบ
กับแรงจูงใจภายใน
หากคนเราล้มเหลวหรือได้รับผลการกระทำที่เป็นลบแล้ว
อาจทำให้คนนั้นสนใจงานลดลงไปแต่ถ้าคนนั้นทำให้ตนเองเสียเปรียบก่อนที่จะเกิดความล้มเหลว
พวกเขาจะประเมินงานนั้นไปในทางบวกและก็ยังมีแรงกระตุ้นให้สนใจงานนั้นอยู่ต่อไป
(การดำรงแรงจูงใจภายใน) มากกว่าคนที่ไม่ได้ทำให้ตัวเองเสียเปรียบ
งานวิจัยต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการทำให้ตนเองเสียเปรียบและแรงจูงใจภายใน
งานวิจัยของ Roberta K. Deppe และ Judith M. Harackiewicz ในปี 1996 พบว่า
ผู้ที่ใช้วิธีการทำให้ตนเองเสียเปรียบสูง จะชื่นชอบงานมากขึ้น
และทำให้แรงจูงใจภายในต่องานนั้นๆได้พัฒนาและดำรงคงอยู่อีกด้วย
งานวิจัยนี้มีหลักฐานยืนยันว่า
พฤติกรรมทำให้ตนเองเสียเปรียบสามารถช่วยป้องกันการลดลงของแรงจูงใจภายในของงานนั้น
เมื่อผลงานของคนเราล้มเหลว
วัตถุประสงค์การวิจัย
เพื่อศึกษาว่าการทำให้ตนเองเสียเปรียบสามารถป้องกันการลดแรงจูงใจภายในในการทำกิจกรรมได้หรือไม่
ขอบเขตการวิจัย
งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างการทำให้ตนเองเสียเปรียบและแรงจูงใจภายใน
โดยวิธีการทำเพื่อให้ตนเองเสียเปรียบ (Behavioral
Self-handicaps)
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
1.
ตัวแปรอิสระ
·
ผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบสูงและต่ำ
·
เงื่อนไขมีการแข่งขัน
และไม่มีการแข่งขัน
·
ผลแพ้หรือชนะ
2. ตัวแปรตาม ได้แก่
·
เวลาที่ใช้ฝึกซ้อมความสัมพันธ์ระหว่างตากับมือ
·
การตั้งเป้า
·
เวลาที่เล่นพินบอลอิสระ
·
ความชอบในการเล่นพินบอล
·
ความสนุกสนานในการเล่นพินบอล
สมมติฐานของการวิจัย
สมมติฐานข้อที่
1
ผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบสูงจะมีความแตกต่างจากผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบต่ำ
สมมติฐานข้อที่
2
เงื่อนไขมีการแข่งขันจะแสดงอย่างชัดเจนว่า ผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบสูง
แตกต่างจากผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบต่ำ
สมมติฐานข้อที่
3
ในเงื่อนไขมีการแข่งขัน –
ไม่มีการแข่งขัน ผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบสูงและต่ำ ที่แพ้ – ชนะ ใช้เวลาเล่นพินบอลในช่วงเวลาอิสระ
สมมติฐานข้อที่
4
เงื่อนไขมีการแข่งขัน
ผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบสูงที่แพ้ใช้เวลาเล่นพินบอลในช่วงเวลาอิสระมากกว่าผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบต่ำที่แพ้
3
สมมติฐานข้อที่
5
ผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบสูงและต่ำ
เมื่อใช้เวลาฝึกซ้อมความสัมพันธ์ระหว่างตากับมือมากมีความสนุกสนานในการเล่นพินบอล
แตกต่างจาก เมื่อฝึกซ้อมความสัมพันธ์ระหว่างตากับมือน้อย
บทที่ 2
วิธีดำเนินการวิจัย
เป็นการวิจัยเชิงทดลอง
แบบตัวประกอบ 2x2x2
โดยเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มแบบระหว่างบุคคล
กลุ่มตัวอย่าง
1.
กลุ่มตัวอย่างขั้นสร้างเครื่องมือ
เป็นนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 1-4 จำนวน 40 คน
ให้ตอบมาตรวัดลักษณะนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบ จำนวน 25 กระทง
2.
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย
นิสิตปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา
2540 จำนวน 327 คน ชาย 95 คน และหญิง 232 คน
ให้ตอบมาตรวัดลักษณะนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบ จำนวน 9 ข้อกระทง
ทำการสุ่มว่ากลุ่มตัวอย่างแต่ละคนอยู่ในเงื่อนไขการทดลองแบบใด
การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและประสิทธิภาพของเครื่องมือ
1.
มาตรวัดลักษณะนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบ (Self-handicapping Scale)
โดยพัฒนาจากมาตรวัดที่มีจำนวนข้อกระทง 25 ข้อ
มาเป็นข้อกระทงคุณภาพ 9 ข้อ
2.
แบบสอบถามการตั้งเป้า
นำคะแนนพินบอลที่ตั้งเป้าไว้ไปเปรียบเทียบกับคะแนนที่ทำได้ในขั้นทดลองเล่นพินบอลว่าตั้งเป้าสูงขึ้นจากคะแนนที่เคยทำได้หรือตั้งเป้าต่ำลง
3.
แบบวัดความชอบในการทำกิจกรรม (Task
Involvement)
มีจำนวน 2 ข้อ
วัดภายหลังการเล่นเกมพินบอล
4.
แบบวัดความสนุกสนานในการทำกิจกรรม (Enjoyment)
มีจำนวน 4 ข้อ
วัดภายหลังช่วงเวลาอิสระ
5.
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ฝึกซ้อมความสัมพันธ์ระหว่างตากับมือ
นำเวลาการฝึกซ้อมความสัมพันธ์ระหว่างตากับมือของผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบสูงมาเปรียบเทียบกับผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบต่ำ
6.
โปรแกรมคอมพิวเตอร์เกมพินบอล
การเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลอง และเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอน
และวิธีการที่วางไว้ การวิเคราะห์ข้อมูล
ใช้โปรแกรม SPSS/PC+ สถิติที่ใช้ทดสอบคือ 3-way ANOVA และ t - test
บทที่ 3
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยได้แสดงตารางข้อมูลค่า
Mean ของแต่ละตัวแปรเป็นรูปแบบตาราง
(ความสัมพันธ์ระหว่างการทำให้ตนเองเสียเปรียบกับการดำรงแรงจูงใจภายในในการทำกิจกรรม,
2541, หน้า 46)
วิเคราะห์ 3-way ANOVA ระหว่างตัวแปรต้น 3 ตัว กับตัวแปรตาม 5 ตัว สรุปได้ว่า
1.ผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบสูง-ต่ำ 2.เงื่อนไขแข่งขัน-ไม่แข่งขัน
3.ผลป้อนกลับว่าแพ้-ชนะ
นั้นไม่ได้มีผลต่อ1.เวลาที่ใช้ฝึกซ้อมความสัมพันธ์ระหว่างตากับมือ 2.การตั้งเป้า
3.เวลาที่ใช้เล่นพินบอลในช่วงเวลาอิสระ 4.ความชอบในการเล่นพินบอล
อีกทั้งปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้น 3 ตัว ไม่ได้ส่งผลต่อตัวแปรตามทั้ง 4 ตัว
แต่ทว่า
เมื่อพิจารณาตัวแปรผลป้อนกลับว่าแพ้หรือชนะและปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบสูง-ต่ำ
กับเงื่อนไขแข่งขัน-ไม่แข่งขัน
กลับพบว่าส่งผลต่อความสนุกสนานในการเล่นพินบอลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.05
ผู้วิจัยต้องการทดสอบค่า
Mean ของตัวแปรตามทั้ง 5 ตัวกับกลุ่มตัวอย่างแต่ละเงื่อนไข จึงทดสอบโดยใช้
t – test ผลการวิเคราะห์สรุปออกมาเฉพาะที่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหรือตรงกับสมมติฐาน
ได้ดังนี้
ผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบสูงจะตั้งเป้าต่ำกว่าผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบต่ำ
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเป็นไปตามสมมติฐาน
ในเงื่อนไขแข่งขัน
ผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบสูงจะตั้งเป้าต่ำกว่าผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบต่ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.01 และเป็นไปตามสมมติฐาน
ในเงื่อนไขที่มีการแข่งขันนั้น
ผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบสูงทั้งที่แพ้และชนะ
ต่างก็ใช้เวลาเล่นพินบอลในช่วงเวลาอิสระไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
และเป็นไปตามสมมติฐาน
6
บทที่ 4
อภิปรายผลการวิจัย
การวิจัยนี้มุ่งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการทำให้ตนเองเสียเปรียบกับการดำรงแรงจูงใจภายในในการทำกิจกรรม
โดยใช้ทฤษฎีตามแนวทางของ Stephen Berglas และ Edward Jones (1978)
การวิจัยนี้ได้ผลแตกต่างจากผลการวิจัยในแนวทางเดียวกันนี้ของ
Deppe และ Harackiewicz (1996) โดยสาเหตุที่ต่างกัน
ผู้วิจัยมีความเห็นว่า
มีปัจจัยต่างๆมาขัดขวางการเกิดพฤติกรรมทำให้ตนเองเสียเปรียบของผู้ร่วมการทดลอง
(behavioral self-handicaps) เช่น
การได้ทำกิจกรรมที่ยากลำบากและมีนัยว่าจะล้มเหลว
ผู้ร่วมการทดลองรู้สึกว่าสถานการณ์ในการทดลองนั้นไม่มีความสำคัญต่อตนเอง
ถึงแม้ว่าจะอยู่ในเงื่อนไขที่ต้องแข่งขันก็ไม่สนใจว่าผลของเกมนั้นจะเป็นอย่างไร
ผู้ร่วมการทดลองที่เป็นผู้หญิงจะคิดว่าความสามารถของตนนั้นเกิดจากโชคช่วยมากกว่าผู้ชาย
การสร้างสิ่งขัดขวางต่อการแสดงออกพฤติกรรมทำให้ตนเองเสียเปรียบนั้นชัดเจนเกินไป
ผู้ร่วมการทดลองบางคนใช้วิธีการทำให้ตนเองเสียเปรียบโดยการกล่าวอ้างมาก่อนอยู่แล้ว
ผลการวิจัยนี้
ไม่พบความแตกต่างของการใช้พฤติกรรมทำให้ตนเองเสียเปรียบ
ระหว่างผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบสูงและผู้มีนิสัยทำให้ตนเองเสียเปรียบต่ำ
ดังนั้นผลที่ตามมาก็คือ
ไม่มีความแตกต่างของการดำรงแรงจูงใจภายในในการทำกิจกรรมด้วย
บทที่ 5
สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ
เนื่องจากหัวข้อต่างๆในการสรุปผลการวิจัยได้สรุปไปแล้วในข้างต้น
ข้าพเจ้าจึงขอสรุปเฉพาะหัวข้อข้อเสนอแนะเท่านั้น
ข้อเสนอแนะ
1.
ครั้งต่อไปควรศึกษากับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนิสิตจากคณะต่างๆมากขึ้น
เนื่องจากอาจจะนิสัยไม่เหมือนกัน
2.
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง
ควรศึกษาเปรียบเทียบระหว่างเพศหญิงกับชาย
3.
เพิ่มตัวแปรเข้าไปอีก เช่น self-esteem, achievement
motivation เพื่อศึกษาว่ามีผลต่อพฤติกรรมทำให้ตนเองเสียเปรียบหรือไม่
4.
ควรสร้างสถานการณ์และเงื่อนไขในการทดลอง ให้มีความสำคัญต่อ self – concept ของผู้ร่วมการทดลองมากขึ้น
รายการอ้างอิง
เปรมวดี
กาญจนวีระ.
(2541).
ความสัมพันธ์ระหว่างการทำให้ตนเองเสียเปรียบกับการดำรงแรงจูงใจ
ภายในในการทำกิจกรรม. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาจิตวิทยาสังคม
บัณฑิตวิทยาลัย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ไม่มีความเห็น