ไปตลาดต้องมีสติ


สถานที่หนึ่งที่เหมาะสำหรับการปฎิบัติธรรมมากที่สุดในความคิดของผมคือ "ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย" ครับ

ก่อนที่ผมจะเขียนบันทึกต่อ ผมต้องขอบอกไว้ก่อนว่าความคิดนี้เป็นเรื่องส่วนตัวอย่างยิ่ง ไม่ใช่สิ่งที่จะแนะนำใครต่อ เพราะผมแม้จะไม่ได้จบปริญญาเอกด้านการเงินโดยตรง (ผมจบด้านวิทยาการสารสนเทศ) แต่ผมก็มีความรู้พอตัวทีเดียวด้านการเงินครับ สิ่งทีผมเขียนคล้ายกับคนที่จบด้านปฐพีศาสตร์กำลังจะบอกว่าการนั่งอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟที่กำลังคุกรุ่นนั้นมีความสุขอย่างยิ่งครับ

อืมม..... ด้วยความกลัวว่าบันทึกนี้จะกลายเป็นการชี้นำที่ไม่ดีเลยกลายเป็นว่าเป็นการเผยไต๋จุดสำคัญของบันทึกไปเสียแล้ว จะเขียนต่อดีไหมนี่....

เขียนก็แล้วกัน

การลงทุนหรือเก็งกำไรในหลักทรัพย์ (หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า "หุ้น") นั้นต้องอาศัย "เหตุผล" เป็นหลัก และต้องกำจัด "อารมณ์" ออกไปให้ได้ให้หมด หลายคนที่มีความรู้มากเห็นในเหตุผลต่างๆ ชัดเจนแต่อารมณ์ไม่นิ่งก็ตัดสินใจได้ผิดพลาดได้ง่ายๆ ครับ ผมเองก็เคยเป็นในช่วงแรกๆ ที่เริ่มพยายามแปลงทฤษฎีให้กลายเป็นปฎิบัติเอาความรู้ที่ร่ำเรียนมาให้กลายเป็นเงิน

การมี "สติ" ตั้งมั่นให้เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์นั้นดูเหมือนจะเป็นคำสอนที่มีอยู่ในทุกศาสนา แต่คำอธิบายนั้นแตกต่างกันแล้วแต่ว่าจะใช้คำอย่างไร

พื้นที่ที่จะให้เราได้ฝึกสติได้ดีแห่งหนึ่งก็คือ "ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย" แล้วเดี๋ยวนี้การ "ไปตลาด" นั้นไม่ได้ต้องเดินทางไปไหนไกล เปิดเครื่องคอมฯ ขึ้นมาก็ไปตลาดได้แล้ว ยิ่งในปัจจุบันนี้ไม่ต้องเปิดเครื่องคอมฯ เลย เปิดแอป Streaming ของ settrade.com บนแทบเล็ตหรือโทรศัพท์มือถือก็ถึงตลาดแล้ว

ในตลาดนั้นจะเรียกว่าเหมือนโลกเสมือนก็ไม่ใช่ก็เรียกว่าโลกจริงก็ไม่เชิง แต่เป็นโลกอีกโลกหนึ่งที่แยกออกไปจากโลกที่เรารู้จักกันนี้ในขณะเดียวกันกลับมีความเกี่ยวพันกับโลกที่เราอยู่กันนี้อย่างมากมาย เรียกได้ว่าโลกที่เราอยู่กันนี้อยู่ได้เพราะโลกเสมือนนั้นทีเดียว

สิ่งที่ผมทำในแต่ละวันในฐานะนักเก็งกำไรคือเฝ้ามองหุ้นที่ผมศึกษาไว้เป็นอย่างดีแล้ว และเมื่อไหร่ราคาต่ำกว่าราคาที่ผมประเมินผมก็จะซื้อแล้วรอขายเมื่อราคาสูงกว่าที่ผมวิเคราะห์ไว้ กฎเกณฑ์นั้นง่ายคือ "ซื้อถูก ขายแพง" แต่ความยากที่ต้องใช้ความรู้คือต้องรู้ให้ได้ว่าเมื่อไหร่ถูกและเมื่อไหร่แพง ตรงนั้นเองที่ต้องศึกษาและฝึกฝนกันครับ

ผมนั่งมองตลาดฯ แล้วมองตัวเอง เรานั้นเหมือนกับชาวประมงยุคใหม่ ถ้าผมเกิดก่อนหน้านี้สักร้อยปี ผมก็คงถือเบ็ดตกปลาไปริมแม่น้ำ หย่อนเบ็ดรอให้ปลากินเหยื่อ แต่ในวันนี้ที่ไม่มีแม่น้ำลำคลองอีกแล้ว สิ่งที่ผมทำนั้นคือการปรับตัวเข้ากับยุคสมัยของสังคมที่เปลี่ยนไปเท่านั้นเอง แทนที่จะถือเหยื่อกับเบ็ดเดินไปริมน้ำ ผมก็ถือ "ทุน" แล้วเปิดเครื่องคอมฯ เข้าไปใน "ตลาด"

สิ่งที่น่าคิดก็คือ สุดท้ายแล้วมาจบลงเหมือนกัน คือปลาในจานข้าวที่ผมได้มาเลี้ยงครอบครัว

ผมไม่ต้องการหุ้น ผมไม่ต้องการกำไร สิ่งที่ผมต้องการคืออาหาร ไม่ได้ต่างกับสิ่งที่บรรพบุรุษของผมทำมาหลายร้อยหลายพันปีเลย

บรรพบุรุษเราปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เราเองก็ปรับตัวต่อไปเพื่อให้ได้อาหารมาเลี้ยงครอบครัว ก็แค่นั้นเอง

แต่ในโลกปัจจุบันนั้นสับสนวุ่นวายมากกว่าในอดีตมากนัก นั่งตกปลาริมน้ำได้มองต้นไม้และก้อนเมฆไปพลางนั้นคงมีความสุข ปลานั้นค่อยๆ ว่าย น้ำนั้นค่อยๆ ไหล น่าจะเป็นชีวิตที่สบายมาก แต่ตัวเลขบนหน้าจอที่ผมมองดูอยู่นั้นมันวิ่งอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าดูไม่ได้มีความสุขเหมือนกับคนในอดีต

แล้วเราจะยอมรับว่าเราทุกข์กว่าหรือ?

ผมกลับมองว่าไม่ใช่

ถ้าเราตกอยู่ภายใต้ "อารมณ์" ไม่ว่าจะเป็นความโลภหรือความกลัวกับตัวเลขที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอ เราก็คงไม่มีความสุข

แต่ถ้าเราเข้าใจถึง "ธรรม" ของสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ สิ่งนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายนัก มันก็แค่ "Digital River" เราก็มองหาปลาที่จะตกตามยุคสมัยของเรา ก็แค่นั้นเอง

ผมเลือกเก็งกำไรในหุ้นที่พื้นฐานดีและมีความเคลื่อนไหวที่ไม่ได้รวดเร็วมากนัก อยู่ในกำลังความรู้ในการวิเคราะห์ของผมที่จะทำได้ และไม่ได้วุ่นวายจนอารมณ์ของผมรับไม่ทัน ด้วยมุมมองเช่นนี้ทำให้ "ตลาด" กลายเป็น "แม่น้ำ" ที่ผมพอจะมีความสุขได้ในการไปเพื่อหาอาหารมาเลี้ยงครอบครัวตามความสามารถที่ร่ำเรียนมา

ด้วยกลยุทธ์เช่นนี้แน่นอนว่าผมเองก็ไม่ได้กำไรมากมายนัก ผมเองก็มีเงินเก็บไม่มากอยู่ในระดับคนชั้นกลางทั่วไป ดังนั้นกำไรที่ได้ก็อยู่ในระดับพอใช้แบ่งเบาภาระค่าอาหารเท่านั้นจริงๆ

คำถามก็คือ "แล้วเราจะต้องการอะไรมากกว่านั้นเล่า?"

 

หมายเลขบันทึก: 546141เขียนเมื่อ 21 สิงหาคม 2013 11:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 สิงหาคม 2013 10:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

 

..... ไปตลาด ต้องมีสติ ..... ใช่เลย ค่ะ... เดียวชื้อมาก ชื่อที่ไม่มีประโยชน์ นะคะ .... 

 

ขอบคุณมากค่ะ

.."มิน่า...ขายหุ้น..กำไร..แสนๆล้าน..(คนบางคน)..เป็นคนใช้..(สติ)..สุดๆ..อิอิ"..เพราะ..เขา..คงไม่..ต้องการ..อะไร..ที่มาก..ไปกว่านั้น..กระมัง..เจ้าคะ..อาจารย์...(น้ำไม่แห้ง..ขอด..กลับ..ท่วมท้นในโลกความจริง..ทำไมมันกลับตาลปัตรไปได้ปานนั้น..)..ชักงงงงงๆๆๆๆๆ..จ้ะ...(และ..ใน Digital River ที่ว่า..ปลาที่ว่ายว่อน..แบ้งค์แห้งขอด..จะล้มมิล้มเหล่..มังเป็งอาราย..ง่ะ...สงสัยจัง...(แอบคิด...ยายธี)...

ฮาๆๆ อันนั้นผมไม่ทราบครับ ผมเป็นแค่คนตัวเล็กๆ ที่พยายามมีชีวิตอยู่ท่ามกลางกฎเกณฑ์ที่คนตัวใหญ่กำหนดไว้ในการปกครองโลกนี้ครับ

ระบบทุนนิยมนี่มีไว้เพื่อเอาเปรียบกันอย่างชัดเจนครับ ยิ่งเรียนก็ยิ่งรู้วิธีการเอาเปรียบผู้ไม่รู้มากขึ้นครับ

อ.ธวัชชัยครับ ผมใช้เงินเก็บเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้าไปเยี่ยมตลาดแล้วเลือกหาหุ้นปันผลไว้รอปันผลครับ ไม่ค่อยกังวลกับการขึ้นลงของหุ้นเท่าไรครับ และขอบอกว่า ผมใช้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ จริง ๆ ครับ สบายใจดี

จริงครับ  มีสตางค์อย่างเดียวคงไม่ได้..ต้องมีสติ สำคัญมาก

 

ไปตลาดต้องมีสติ..

คุณหมอที่รพ.ลุ้นกันจนตัวโก่งเหมือนกันค่ะ แล้วก็มาบ่นให้ฟังตอนเข้า OR (ห้องผ่าตัด)

อยู่ที่นี่ไปตลาดก็ต้องเลือกอาหารที่ไม่มี ไขมัน ไมหวาน ...ต้องมีสติซื้อเหมือนกันค่ะ...ขอบคุณค่ะดร.ธวัชชัย

 

มีสติ ไปตลาด. ต้องมี สตางค์ ติดไปด้วย. ไม่งั้น จะได้แต่ เดิน ชม ตลาด. อย่างเดียวอะค่ะ ^___^

เรื่องตลาดหุ้นนี่พี่อ่านเท่าไหร่ไม่เข้าหัว

แต่ถ้าเรื่องตลาดสดนี่พอรู้เรื่องค่ะ

เข้ามาอ่านเพราะนึกว่าจะเล่าเรืองตลาดสดนะนี่

กำไรหดลงทุกวันช่วงนี้จนตกอยู่ในอารมณ์กลัวนิดหน่อยแล้ว ที่ผ่านมาได้ค่ากับข้าว ขอบคุณสติของตัวเองพอควรค่ะ

รุ่นปู่ย่า (great generation) เพียงมีที่ทำกินก็อุ่นใจได้
รุ่นพ่อแม่ (baby boomer) ทำงานหนักตลอดชีพ เก็บเงินกินดอกเบี้ย ก็อุ่นใจได้
รุ่นเราเอง (คาบเกี่ยว X & Y) ต้องปรับตัวตามกระแส ทุกอย่างเป็นจังหวะ ซิกแซ็ก ไม่เป็นเส้นตรง
สิ่งเดียวที่ทำให้อุ่นใจได้คือ 'สติ' อย่างที่อาจารย์เขียนคะ
...

ได้ลองเข้าตลาด แล้วคะ เนื่องจากเอาความสบายใจเป็นสำคัญ  มีหลักของตัวเองแบบนี้คะ
1.เลือกเข้าพอร์ตแค่ 3-4 ตัว เอาตัวที่เราอยากได้ 'ความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วม' และโอกาสเจ๊งเมื่อเกิดวิกฤติน้อย : ไม่เน้นทำกำไร ดังนั้นตลาดจะขึ้นจะลงไม่เป็นไร มันเป็นเช่นนั้นเอง ขออย่าให้ล้มหายเป็นศูนย์ก็แล้วกัน
2. ลงทุนใน LTF ด้วย ให้มืออาชีพที่สามารถเลือกลงทุนได้หลายๆ ตัว ที่ทำกำไรได้สูงกว่าความสามารถเราเองแน่นอน

ถ้าหุ้นขึ้นก็ดีใจ เพราะเท่ากับพอร์ตเรามีมูลค่าเพิ่ม
ถ้าหุ้นลงก็ดีใจ เพราะจะได้ซื้อ LTF ราคาถูก

พยายามใช้ชีวิตแบบลุ่มๆ ดอนๆ (เข้ากับทุกจังหวะ) คะ รวมทั้งเส้นทางชีวิต
ถ้าได้ไปต่อก็ดี เราได้เพิ่มคุณค่า ด้วยการ training
ถ้าไม่ได้ไปต่อก็ดี เราได้เพิ่มคุณค่า ด้วยการ working


:)

คุณหมอเป็นนักลงทุน (investor) แต่ผมเป็นนักเก็งกำไร (speculator) ครับ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสองแบบนี้สุดท้ายแล้วใครได้ผลตอบแทนดีกว่ากันครับ ครั้นจะ knowledge sharing กันมากก็ไม่ค่อยได้เสียด้วยครับ สงสัยมีโอกาสผมต้องไปเปิด "ชุมชนคนลงทุน" เป็น private discussions ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท